ปริณดา จันทมงคลเลิศ , วรนารี ภู่สุรัตน์ , ณัฐนรี กุลวงษ์ ,
เมื่ออิสรภาพการแสดงออกของจินตนาการถูกจำกัด ทั้งมาตรฐาน กฎเกณฑ์ ค่านิยมและการถูกตีกรอบทางสังคมที่กดทับการสร้างสรรค์เอาไว้ไม่ให้แสดงออกผ่านผลงานศิลปะ หรือแม้แต่การส่งเสียงออกความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ นั้นก็ไม่สามารถทำได้ สังคมในตอนนี้จึงกลายเป็นดั่งฝันร้ายของเด็ก Gen Z หลายคนบอกว่าโลกสมัยนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทุกวันนี้ “คนรุ่นใหม่หรือเด็ก Gen Z” กลายเป็นกลุ่มคนสำคัญที่ออกมาส่งเสียงเรียกร้อง ผลักดันและพยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมในประเทศไทย ในวันนี้ หลากหลายประเด็นถูกยกออกมาจากความต้องการหรือความฝันของพวกเขา ตั้งแต่เรื่องในครอบครัว โรงเรียน ไปจนถึงเรื่องสังคมและการเมืองระดับประเทศ ในขณะที่เด็ก Gen Z กำลังพยายามสร้างอนาคตและสังคมในฝันด้วยมือและศักยภาพที่เขามี แล้วภาพสังคมแบบไหนกันที่พวกเขาเหล่านั้นกำลังวาดฝันอยู่ภายในจิตใจ ฝันแบบไหนกันที่พวกเขาวาดไว้สำหรับตัวเองและประเทศไทย เริ่มด้วยที่คุณ สุวนันท์ วงษ์กราน นักศึกษามหาวิทยาลัยหอการค้า เธอคิดว่า สังคมในฝันของเธอคือการอยู่ในสังคมที่ดี ไม่เอาเปรียบ ดูถูกเหยียดหยามหรือใช้ประสบการณ์นิยมมาวิจารณ์ผู้อื่นในแง่ลบ ไม่ว่าใครจะอยู่ระดับไหน หรือแม้กระทั่งเรื่องการแต่งตัว ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะดำเนินชีวิตในแบบที่ตัวเองชอบและไม่เดือดร้อนผู้อื่น “ซึ่งเรื่องการเคารพสิทธิส่วนบุคคลเป็นอะไรที่สำคัญมากและต้องให้เกียรติกันในทุก ๆ เรื่อง ไม่ใช่เพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่นอกจากจะส่งผลกับการดำเนินชีวิตประจำวันแล้ว มันส่งผลไปถึงการทำงานกับผู้อื่น เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงฝันว่าในอนาคตอยากทำงานร่วมกับเจ้านายที่ดี เพื่อนร่วมงานที่ดี มีทัศนคติที่ดีรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ให้เกียรติกันทุกคน เพื่อที่จะได้ปรับหรือรับแนวคิดใหม่ ๆ ซึ่งส่งผลที่ดีกับทุกฝ่าย ซึ่งต่างกับคนที่ยึดติดแต่กับตัวเองและไม่ให้เกียรติผู้ร่วมงานคนอื่น อาจจะเป็นเพราะด้วยตำแหน่งหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ใคร ๆ ที่ได้ร่วมงานด้วยก็คงเบื่อที่จะร่วมงานด้วย” ต่อมาเป็น คุณเกศรินทร์ สวัสดิ์ล้น นักศึกษามหาวิทยาลัยบูรพา เธอคิดว่า สังคมในฝันที่เธออยากมีคือ สังคมที่ผู้คนมีความสุข การยอมรับและเคารพซึ่งกันและกัน แม้ว่าจะมีบุคคลใดแตกต่างจากสังคมส่วนใหญ่ก็ตาม การที่บุคคลนั้นเป็นหรือกระทำในสิ่งต่าง ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะแย่หรือดีไปกว่าเรา เราก็คือมนุษย์เหมือนและเท่ากัน นอกจากสถานะทางสังคมแล้วก็รวมไปถึงอาชีพ ทุกคนมีสิทธิ์จะทำอาชีพที่ตนเองอยากทำ ซึ่งอาชีพของเด็กไม่ควรถูกบังคับและจำกัดอยู่เพียงแต่ครอบครัว เสียงคนรอบข้าง ให้มาเป็นแรงกดดัน ทุกอย่างนั้นล้วนแต่เป็นพื้นฐานการเคารพซึ่งกันและกัน และเป็นสิ่งที่สังคมส่วนใหญ่ควรจะมีและพึงกระทำ ส่วนตัวผู้เขียนนั้น มีความคิดเห็นเกี่ยวกับสังคมที่วาดฝันไว้ว่าอยากให้ เป็นสังคมที่เปิดกว้างแนวคิดใหม่ สามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ใหม่โดยไม่มีประสบการณ์นิยมมากดไว้ ให้ความสำคัญกับการต่อยอดไอเดียทางศิลปะ ใส่ใจและให้ค่ากับงานศิลปะมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ศิลปะการวาด ดนตรี งานปั้นต่าง ๆ เพราะศิลปะไม่ใช่แค่การวาดรูปแต่คือสิ่งใดที่สร้างสรรค์ก็คือศิลปะ และงานศิลปะก็ถือว่าเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่ต้องเพียรพยายามในการฝึกฝนไม่ต่างจากแขนงอื่น และยังย้ำว่าต้องการให้เป็นสังคมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงศิลปะได้โดยง่าย ไม่ได้เป็นสิ่งฟุ่มเฟือย และยังต้องการให้มีพื้นที่ในการจัดแสดงงานทั้งในพื้นที่เอกชนและในพื้นที่สาธารณะมากขึ้น รวมไปถึงพื้นที่ที่สามารถแลกเปลี่ยนความคิดและถ่ายทอดงานศิลปะออกมาได้ และสุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อิสระเสรีภาพในการแสดงออกไม่ว่าจะเป็นศิลปะ การเมือง หรือการใช้ชีวิต ในปัจจุบัน เราเห็นแล้วว่าคนรุ่นใหม่หรือเด็ก Gen Z มีความฝัน มีสังคมในอุดมคติที่อยากจะมี อยากจะเห็น และอยากที่จะให้เป็น ซึ่งสิ่งที่คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ต้องการเป็นสิ่งแรกคือ ‘การรับฟังจากผู้คนในสังคม’ เพราะการรับฟังและการยอมรับนำไปสู่โอกาสและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้เราได้เห็นถึงศักยภาพที่เขามี ศิลปะก็เช่นกัน หากศิลปะถูกตีกรอบเราก็จะไม่เห็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ศิลปะให้แรงบันดาลใจและตัวตน (ปริณดา จันทมงคลเลิศ)
ความท้าทายในการสร้างสรรค์งานมันจะทำให้เราเข้มแข็งขึ้น ทำมันต่อไปเรื่อยๆแล้วมันก็จะมีวันของ เราเอง (วรนารี ภู่สุรัตน์)
ศิลปะทำให้เรามองเห็นโลกในมุมมองที่แตกต่างจากคนอื่น ทำให้เราสังเกตถึงสิ่งเล็กๆ ที่สวยงามของ โลก และทำให้ได้เจอมิตรภาพจากคนที่มองเห็นโลกใบนี้ในมุมมองที่เหมือนกันขอให้สนุกกับศิลปะ (ณัฐนรี กุลวงษ์)