กลับไปดูผลงาน
ผลงานส่งร่วมประกวดประเภทบทความ

ศิลปะไม่มีถูก ไม่มีผิด


ขวัญพรทัศ ธนูสิงห์

         “ศิลปะไม่มีถูก ไม่มีผิด” เป็นประโยคที่ถูกหยิบมาพูดจนคิดว่าอย่างน้อยสักครั้งในชีวิต ทุกคนก็ต้องเคยได้ยินกันมาบ้าง มันเป็นการอธิบายคำว่า ‘ศิลปะ’ ได้เข้าใจง่ายจนถึงระดับง่ายมาก หากมีใครสักคนถามคุณว่า ‘ศิลปะ คืออะไร?’ ศิลปะไม่มีถูก ไม่มีผิด มันเป็นอิสระ ไร้กรอบ ไร้รูปทรงมากำกับ จะบิดเบี้ยวหรือถูกสาดสีจนเลอะเทอะ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งเดียวกันทั้งสิ้น นั่นคือศิลปะ แต่ประโยคไม่ได้จบแค่ตรงนั้นสำหรับตัวข้าพเจ้า มันยังมีคำห้อยท้ายมาอีกนิดหน่อย ศิลปะไม่มีถูก ไม่มีผิด “มีแต่ไม่ถูกใจ” และหลังจบประโยคข้างต้น ก็จะตามมาด้วยเสียงหัวเราะ และคำเย้ยหยันถึงความไร้ฝีมือ ที่ไม่อาจวาดภาพสวย ๆ ถูกใจพวกเขาได้ นั่นจึงกลายเป็นจุดที่ทำให้เกลียดศิลปะมาตั้งแต่อายุยังน้อย ความอับอายจากการวาดรูปไม่สวย ยังฝังแน่นติดในใจ สุดท้ายก็ไม่อยากจะวาดรูปอะไรอีกเลย จนกระทั่งได้รู้จักศิลปินนามว่า มาร์แซล ดูว์ช็อง เจ้าของผลงานโถฉี่สุดเลื่องชื่อ ที่มีแนวคิดเจ๋ง ๆ ว่าศิลปะมันจะเป็นอะไรก็ได้ ไม่ได้วิเศษล้ำค่าอะไร นั่นทำให้เริ่มมองเห็นคำว่าศิลปะกลับเข้ามาในสายตามากขึ้น ถึงแม้รูปที่เราวาดจะไม่ได้สวยเหมือนคนอื่น ถึงจะมองดูแล้วคล้ายกับงานฝีมือระดับอนุบาลมากกว่าเด็กมหาลัยคนหนึ่งเป็นคนวาดก็ช่างมันปะไร ข้าพเจ้าเริ่มตีความคำว่าศิลปะใหม่อีกครั้ง หลังจากสูญเสียความมั่นใจไปหลายปี ก็ค้นพบว่าศิลปะมีไว้เพื่อผ่อนคลายจิตใจ ไม่ใช่ดึงให้ดำดิ่งไปอยู่ก้นบึ้งของเสียงวิจารณ์ ไม่ว่าเราจะวาดอะไรออกมานั่นก็ล้วนเป็นศิลปะที่น่าภาคภูมิใจของตัวเราเองเสมอ ลายเส้นที่จรดผ่านปลายดินสอของเราเป็นสิ่งวิเศษสุดเท่าที่เคยเห็นมา แม้ข้าพเจ้าจะดึงตัวเองออกจากหลุมลึกและกลับมาสนุกกับศิลปะได้อีกครั้ง แต่มีคนอีกหลายคนที่ถูกวิจารณ์อย่างใจร้าย ‘วาดไม่สวย บิดเบี้ยว ทุเรศ ไปหัดวาดมาใหม่ กล้าเอาผลงานห่วย ๆ แบบนี้มาโชว์ได้อย่างไร’ คำพวกนี้ล้วนทำลายความมั่นใจ บั่นทอนคนวาดอย่างร้ายกาจ ผลลงเอยสุดท้ายคงไม่พ้นการเกลียดศิลปะอย่างที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในสังคมแบบนี้ ข้าพเจ้าคาดหวังอยากจะเห็นสังคมที่เปิดรับให้กับศิลปะอย่างแท้จริง เคารพงานฝีมือผู้อื่น ติเพื่อก่อ มิใช่ติเพื่อด่าเอาความสะใจ ศิลปินจะวาดแบบไหน วาดอะไรก็ได้ตามความชอบ ความถนัดส่วนตัว และถูกโอบล้อมด้วยการยอมรับ คำชื่นชม หรือการแนะนำช่วยเหลือที่ดีเพื่อพัฒนาตัวเองต่อไปได้ รวมถึงการให้ความสนับสนุนทั้งจากคนรอบข้างและภาครัฐ ผู้คนเลิกด้อยค่างานศิลปะ ไม่ตีตรามันว่าเป็นงานต้นทุนต่ำ เพราะใช้แค่สีกับผ้าใบ ก็ควรขายในราคาถูก ๆ กดราคาจนศิลปินไม่สามารถเจริญก้าวหน้าได้ในสายอาชีพนี้ กระทั่งเกิดวาทกรรม ‘ศิลปินไส้แห้ง’ ที่แสดงให้เห็นถึงความแร้งแค้น ไม่มีใครสามารถได้ดีในอาชีพนี้ได้ ถ้ามาย้อนต้นสายปลายเหตุกันจริง ๆ มันมีหลายสาเหตุมาก แต่หลัก ๆ ก็มาจากมุมมองของคนในสังคมส่วนใหญ่ ที่ยังด้อยค่าความสามารถและความเพียรพยายามของตัวศิลปิน และตีมูลค่าจากวัสดุที่มองเห็นเพียงอย่างเดียว เพื่อให้ศิลปะเจริญงอกงามในประเทศนี้ ผู้คนควรเริ่มจากการเปิดรับผลงานต่าง ๆ ให้มากขึ้น ทั้งที่เห็นว่าสวยและไม่สวย และภาครัฐเองก็ต้องเข้ามาให้การสนับสนุน สร้างระบบจัดซื้อ-จัดขายที่ดี เพราะการเติบโตของอุตสาหกรรมศิลปะในต่างประเทศนั้นสูงมาก เนื่องจากตลาดศิลปะมีอิสระ มีสภาพคล่องและศักยภาพสูง คนเริ่มหันมาลงทุนกับศิลปะแทนพวกอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพย์สินในรูปแบบอื่น ๆ เยอะมากขึ้น หากไทยพัฒนาระบบได้ดีเท่าก็จะเป็นการหารายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนไม่น้อย สังคมที่เด็ก ๆ ผู้รักในศิลปะสามารถเติบโตมาประกอบอาชีพด้านนี้เพื่อเลี้ยงชีพได้ ผู้คนให้การยอมรับ สนับสนุน คือสังคมในฝันที่ข้าพเจ้าถวิลหามากที่สุด

คณะกรรมการตัดสิน
ผศ.อริน เจียจันทร์พงษ์
อาจารย์ญาณิน พงศ์สุวรรณ
อาจารย์อรรณนพ ชินตะวัน
กำลังใจจากเจ้าของผลงาน

          ศิลปะให้ความผ่อนคลายและจิตวิญญาณ ศิลปะไม่มีผิดไม่มีถูก มีแค่ถูกใจหรือไม่ถูกใจ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปแคร์ใคร ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบก็พอ