News

เรียน Journalism ไปทำอะไร?

FacebookTwitterEmailCopy Link
เรียน Journalism ไปทำอะไร?

เมื่อเร็วนี้ สาขานิเทศศาสตร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ม.ศิลปากร จัดแนะแนวการเลือกกลุ่มวิชาเอกให้นักศึกษาปี 1 ทางออนไลน์

งานนี้ กลุ่มวิชา Journalism ได้ชวนศิษย์เก่ามาเล่าถึงเนื้องานที่เคยทำและที่ทำอยู่ ให้กับ ว่าที่ Journalist / content creator ของวงการสื่อไทย

พี่พลอย กมลพร สุนทรสีมะ รุ่น 3 ปัจจุบันเป็น freelance creative หลายแห่ง เช่น Happening และ Tk park บอกว่า ด้วยความที่โตมากับการอ่านหนังสือ อ่านนิตยสาร ก็เลยอยากเป็นนักเขียนแมกกาซีนมาโดยตลอด จึงเลือกเรียนด้าน Journalism และเริ่มต้นทำงานที่ “ซูเปอร์จิ๋ว เเมกกาซีน”

“ความยากของการเริ่มต้นทำหนังสือหัวใหม่คือ การวางพื้นฐานของหนังสือให้แน่นและดีที่สุด ซึ่งสื่อที่มีเนื้อหาสำหรับเด็กประถม 1-4 ยังไม่ค่อยมีใครทำความเข้าใจว่า เด็กที่เป็นกลุ่มเป้าหมายต้องการอะไร อยากอ่านอะไรอย่างลึกซึ้ง จึงต้อง research เยอะ คุยเยอะ สัมภาษณ์เยอะ เพื่อให้เข้าใจผู้รับสาร”

หลังจากทำได้ 6 ปี “ซูเปอร์จิ๋ว เเมกกาซีน” ได้รับผลตอบรับอย่างดีจากทั้งผู้ปกครองและเด็ก ก่อนที่ภายหลังจะย้ายมาเป็น ทีม online creative ของรายการ “super 10”

พี่อุ้ม กัลยา พลอยไทรงาม รุ่น 5 เริ่มงานเป็น graphic designer / visual communication designer หลายแห่ง เช่น Hubba และ Traveloka Thailand เล่าว่า เนื้องานแรกที่ทำเป็นการรับบรีฟ concept มาจากทีมการตลาดแล้วสร้างออกมาเป็นงานภาพในรูปแบบโพสต์หรือป้ายแบนเนอร์ต่าง ๆ รวมถึงงาน graphic งาน retouch

หลังจากนั้น พี่อุ้มรู้สึกสนใจการค้นหาความต้องการของลูกค้า จึงไปศึกษาเพิ่มเติมด้านการจัดการการสื่อสารแบบบูรณาการจนจบปริญญาโท ปัจจุบันเป็น Digital planner เธอบอกว่า งานหลักปัจจุบันคือ ควบคุมและจัดการ content ให้กับเพจของใช้แม่และเด็กอ่อน ซึ่งใช้หลัก Journalism ในการคิด content หาประเด็นใหม่ ๆ ให้เข้ากับกระแสสังคม ประกอบกับใช้หลักการเรื่องการจัดการสื่อสารบูรณาการค้นหาความต้องการของลูกค้า ทั้งสอง area ผสมผสานใช้ในการทำงานวันนี้ได้อย่างลงตัว

พี่เค้ก อินทร์แก้ว โอภานุเคราะห์กุล รุ่น 6 เป็น Digital Journalist ที่ Workpoint Today ปัจจุบันเธอทำ content ประเด็นสังคม นโยบายรัฐ การเงิน และลงภาคสนามตามข่าวการชุมนุมของนักเรียน นิสิตนักศึกษา

“งานของเราต้องออกไปสัมภาษณ์ผู้คนที่บางทีก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน เวลาคุยก็จะพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาในฐานะมนุษย์คนหนึ่งบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง เป็นเรื่องทักษะการเปิดบทสนทนาและคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่าจะเป็นเรื่องของความกล้า”

ส่วนเรื่องความกล้าแสดงออกหน้ากล้องจำเป็นหรือไม่ เธอบอกว่า มันไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นหรือบังคับว่า ทุกคนจะต้องทำได้ แต่ถ้าทำได้มันก็เป็นประโยชน์กับตัวเราเพราะมันทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นซึ่งก็จะนำมาสู่การติดต่อแหล่งข่าวเพื่อขอข้อมูลหรือเป็นโอกาสสู่งานอื่น ๆ ต่อไป

“แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ไม่ต้องบังคับตัวเองให้ไปอยู่หน้ากล้องถ้าคุณไม่ได้ชอบ แต่ก็อยากให้ทดลองดูก่อนว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร แล้วพอถึงจุดหนึ่งประสบการณ์ก็จะหล่อหลอมไม่ก็กะเทาะเราออกมาให้ลองทำอะไรใหม่ ๆ”

พี่ณัฐ ณัฐนันท์ แก้วบุญถึง รุ่น 8 ปัจจุบันทำงานเป็น Graphic designer ที่ Q associate group เนื้องานที่ทำอยู่จะเป็นการสื่อสารทั้งภายในตัวองค์กรเองกับทั้งภายนอกที่เป็นลูกค้า

“ก่อนหน้านี้ก็ทำอยู่อมรินทร์ออนไลน์ในตำแหน่งเดียวกันแต่จะเน้นทำ content แนว lifestyle ค่อนข้างเยอะ ซึ่งตอนนั้นทีม graphic ไม่ได้มีคนเยอะมาก ทำให้ต้องดูเนื้อหาที่เป็นเพจด้านธุรกิจ ดูเพจแนวอาหาร และเพจแนวสุขภาพ ต้องอ่านเนื้อหา แล้วสรุปทำความเข้าใจแล้วถึงสร้างออกมาเป็น graphic ให้เข้าใจง่ายและเข้ากับเอกลักษณ์ของเพจนั้น ๆ ให้มากที่สุด”

พี่ณัฐ ย้ำว่า งาน graphic งาน visual ที่ใช้สื่อสารข้อมูล ในฐานะที่เป็นเรียน Journalism เราไม่ได้เป็นนักเทคนิคแต่เราเป็นนักคิด นักวางแผน นักออกแบบกระบวนการการสื่อสารทั้งระบบ โดยเฉพาะในส่วนของการค้นคว้า การพิสูจน์ข้อเท็จจริง ตรรกะเหตุผล แล้วย่อยออกมาเพื่อสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของพลเมืองผู้รับสาร

“เมื่อเทคโนโลยีสื่อสาร หลอมรวมกันหมดแล้ว เราจำเป็นต้องรู้จักธรรมชาติของสื่อ ของ platform โดยที่พื้นฐานที่สุดคือ การคิดประเด็น จะคิดประเด็นที่แหลมคมได้ก็ต้องวิเคราะห์บนกรอบคิดหลักการของศาสตร์ต่าง ๆ แล้วรวบรวม คัดกรอง จัดการและนำเสนอออกมาในรูปแบบต่าง ๆ”

ถัดมาคือ พี่แบงค์ วุฒิพงษ์ วงษ์ชัยวัฒนกุล รุ่น 8 ปัจจุบันเป็น online creative ที่ Thai PBS

หลายคนคงรู้จักช่อง Thai PBS ในฐานะทีวีสาธารณะ เสนอข่าวสารที่สำคัญต่อพลเมือง พี่แบงค์ บอกว่า หน้าที่ของ online creative ก็คือทำเนื้อหาบนทีวีแปรมาให้ถูกจริตกับคนดูออนไลน์

พี่แบงค์บอกว่า เนื้องานหลัก ๆ คือการค้นคว้า และย่อยข้อมูลจากที่ต่าง ๆ ที่อาจดูยุ่งยากให้เข้าใจได้ง่ายที่สุดสำหรับคนทั่วไป ซึ่งบางงานก็ทำได้ด้วยตัวคนเดียวคือ ค้นคว้า จัดการข้อมูล แล้วทำ infographic ครบจบในตัวคนเดียว แต่บางงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้นอย่างข่าวน้ำท่วมในเรื่องเกี่ยวกับสถิติก็จะมีทีม graphic เข้ามาช่วยให้ได้งานที่เร็วและดีขึ้น

สำหรับกลุ่มวิชา Journalism สิ่งที่เป็น core คือ การทำ content เพื่อตอบอิสรภาพ สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคของพลเมือง ข้อมูลนำมาจากข้อเท็จจริงที่มีและเกิดขึ้นจริง ๆ โดยพื้นฐานเล่าออกมาในรูปแบบ factual เพราะฉะนั้น ไล่ตั้งแต่ประเด็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต อาหารการกิน ท่องเที่ยว กีฬา แฟชั่น lifestyle ฯลฯ ล้วนอยู่ใน area ของงาน Journalism ซึ่งผู้เรียนก็ต้องอ่านมาก ดูมาก ฟังมาก และคิดไปกับมัน

ส่วนการเล่ามันออกมา ก็ทำในหลายรูปแบบทั้ง text sound visual และอื่น ๆ มันก็เลยปรากฏออกมาทั้งในแบบที่เป็นงานเขียน content ทำ podcast ถ่ายภาพ ทำ graphic infographic VDO motion graphic ฯลฯ ในทุก platform ที่เป็นไปได้อย่างเชื่อมโยงกัน มีการหยิบยืมเทคนิควิธีการเล่าแบบ fiction มาช่วยให้ Journalism content น่าสนใจยิ่งขึ้น

ในประเด็นนี้ พี่อุ้ม เสริมว่า ไม่ว่าจะงานรูปแบบใด ล้วนมีพื้นฐานมาจากการคิดวิเคราะห์ อย่างงาน Graphic designer ก็ทำมันออกมาโดยผ่านการคิดวิเคราะห์แล้วตีความมัน แล้วถึงสื่อสารออกมาด้วยภาพ ทุกอย่างอยู่บนโจทย์ของการที่เราต้องการสื่อสารข้อความบางอย่างออกไปผ่าน form หรือ platform ของการสื่อสาร เป็นการผนวกกันของกระบวนการการใช้สื่อ ความคิดสร้างสรรค์ และการคิดวิเคราะห์

ส่วนพี่เค้ก บอกว่า เธอชอบและฝึกการเขียนมาตั้งแต่มัธยม เป็นเหตุผลให้เลือกเรียนนิเทศศาสตร์ และคิดว่าการได้เรียนและทำงานในสาย Journalism มีโจทย์ใหม่ ๆ มาคอยพัฒนาให้ต้องคิดและเขียนออกมาแหลมคมขึ้น

“เราสนใจการเล่าแบบ factual เอาข้อเท็จจริงมาเรียบเรียงแล้วเล่ามันออกมา อย่างข่าวและสารคดี ซึ่งพอมาเรียนจริง ๆ ด้าน Journalism ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์รอบตัว สถานการณ์ปัจจุบัน การร้อยเรียงข้อมูล หรือสัมภาษณ์เชิงลึกออกมาเป็นงานเขียน มันมีพื้นฐานอยู่ที่การคิด วิเคราะห์ และด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ มันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทำให้ได้โจทย์ใหม่ ๆ ที่ต้องฝึกการคิดให้รอบและพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ”

เธอบอกอีกว่า มีเพื่อนชอบงานแนว fiction ซึ่งถ้าพูดตรงไปตรงมา เขาไม่ได้มีความสุขกับวิชาเรียนเท่าไหร่เพราะไม่ได้ทำในสิ่งที่สนใจที่สุด แต่สุดท้ายแล้วเขาได้กระบวนการคิด การค้นคว้าข้อมูล ตรรกะเหตุผล วัตถุดิบจากเหตุการณ์รอบ ๆ ตัวที่มีผลต่อชีวิตต่อผู้คนและสังคม ถูกฝึกให้ไปพูดคุย สังเกต เข้าใจชีวิตผู้คน และเรื่องราวความเป็นไปของสังคม ทำให้เขามีวิธีประกอบสร้างเรื่องราวที่สามารถนำไปใช้ในงานที่เขาชอบได้ ดังนั้นแก่นหลักของการเรียน Journalism จึงเป็นเรื่องการคิดวิเคราะห์ประเด็นในการทำ content ซึ่งถือเป็นฐานรากไม่ว่าจะเล่าออกมาทั้งแนว fiction และ factual

พี่ณัฐ ได้เสริมว่า ในช่วงของการเรียนด้าน Journalism มีวิชาการถ่ายภาพ การทำข่าว สารคดี การทำ graphic infographic motion graphic ซึ่งใช้ทั้งหมดนี้ในการนำเสนอ story เพื่อให้พลเมืองในฐานคนผู้รับสารเข้าถึงและเข้าใจข้อมูลข่าวสารนั้น ๆ ได้รวดเร็ว กระจ่างชัดที่สุด ซึ่งก็ตอบ concept เรื่อง “สิทธิที่จะรู้” ของพลเมืองนั่นเอง

“infographic ช่วยผู้รับสารที่ไม่ได้มีเวลาหรือไม่ต้องการจะอ่าน story ทั้งก้อนให้เข้าใจเนื้อหาของเราในเวลาที่กระชับ ส่วน VDO หรือ motion graphic ก็จะมีฟังก์ชั่นคล้าย ๆ กัน มันเป็นการต่อยอดจากเนื้อหาก้อนหนึ่งมาแตกประเด็นใน platform ต่าง ๆ”

พี่ ๆ ยังแนะว่า ลองมองแบบกระบวนการสื่อสารทั้งกระบวนการ เราจะทำ content เพื่อตอบใคร วัตถุประสงค์การสื่อสารของเขาและของเราคืออะไร ถ้าเป็นฝั่งกลุ่มวิชา Business Communication ก็พูดถึงการตอบลูกค้า แต่ถ้าฝั่ง Journalism มุมมองนำคือ มองในฐานะผู้รับสารเป็น “พลเมือง” ชุดความคิดที่ตามมาคือ หลักสิทธิเสรีภาพ เสมอภาค ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน เป็นต้น content จึงคิดตามฐานนี้ รวมไปถึง การเล่า การผลิตชิ้นงาน และกระจายชิ้นงานก็ยึดโยงที่พลเมือง

ส่วนการทำงานในวงการสื่อ พี่ ๆ จาก Journalism ก็ได้ช่วยกันให้นิยามความต้องการและทักษะที่จำเป็นของผู้ที่จะมาทำงานใน area นี้ โดยพี่แบงค์ เห็นว่า วงการสื่อน่าจะต้องการคนที่มีความเป็นนักคิด มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นทำให้สามารถจับประเด็นในเหตุการณ์รอบ ๆ ตัว ที่เกิดขึ้นได้ในเชิงที่ลึกซึ้ง อีกประการคือ ชำนาญในการเล่า และมีทักษะการผลิตสื่อได้หลากหลาย

“คือในโลกของการทำงาน นักเรียนนิเทศศาสตร์จะถูกคาดหวังให้ทำอะไรได้หลายอย่าง ซึ่งนอกจากเราจะทำได้แล้ว เราต้องทำให้เก่งด้วย มันจะทำให้เรามีโอกาสและเป็นใบเบิกทางไปในหลาย ๆ สาขาที่เขาต้องการเรา และไม่ใช่แค่ทักษะ แต่เป็นเรื่องความรู้ต่อเรื่องรอบ ๆ ตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่เรียกว่า “ความรอบรู้” ซึ่งอันที่จริงมันก็เป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมนี้มาตั้งแต่ก่อนยุคออนไลน์แล้ว”

พี่อุ้มได้เสริมว่า เราต้องการคนที่มีความใส่ใจ ละเอียด ประณีต และขยันหาความรู้ อัพเดตตัวเองอยู่ตลอดเวลาไปกับสังคมทุกวันนี้ที่มีการขับเคลื่อนอยู่ตลอดเวลา ทั้งในด้านที่เราสนใจหรือจะไม่สนใจก็ตาม มันหมายถึงการหาความรู้ได้เองเป็น ซึ่ง มาจากการคิดวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลกที่กระแสข้อมูลไหลบ่าท่วมท้นได้

ในด้านของความก้าวหน้าของการทำงานในสายอาชีพสื่อ พี่พลอย เห็นว่า คณะนิเทศศาสตร์ได้สร้างโอกาสดี ๆ ให้กับชีวิตหลายอย่าง การได้คุยกับคนที่ไม่เคยคุย ทำอะไรที่ไม่เคยทำ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา

“ตอนที่เราเรียนจบใหม่ ๆ เป็นยุคเริ่มต้นของออนไลน์ในประเทศไทย ตัวเองที่เคยชินกับยุคออฟไลน์ก็ต้องมาเริ่มเรียนรู้หลาย ๆ อย่างของโลกใหม่เพื่อให้ปรับตัวให้ทันซึ่งเราก็ถูกฝึกให้เรียนรู้ได้เองมาตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว เพราะการทำ content ที่จะต้องตอบผู้อ่านให้ได้ไปถึง why and how อธิบายปรากฏการณ์นั้น ๆ ให้คนอ่านเข้าใจได้ มันก็ต้องใช้กระบวนท่านี้”

ถ้ามาถามตอนนี้ว่าเสียใจเลยที่เรียนนิเทศศาสตร์ด้าน Journalism ไหม พี่พลอย ตอบว่า “ไม่เลยค่ะ เพราะเราได้เลือกสิ่งที่ชอบแม้มันจะยากก็ตาม”

ส่วนพี่เค้ก ได้กล่าวสรุปถึงสถานการณ์สื่อในปัจจุบันไว้ว่า ในฐานะของคนที่ยังอยู่ในสนามข่าว เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้การทำ content ในบางประเด็นยังมีเพดานอยู่ ทั้งในแง่กฎหมายที่ทุกวันนี้ก็ยังมีการถกเถียงถึงความสอดคล้องต่อรัฐธรรมนูญและระบบประชาธิปไตยหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับประสบการณ์และการฝึกฝนของเราที่จะนำเสนอข้อเท็จจริงให้เกิดประโยชน์กับสังคมมากที่สุด

เธอเห็นว่า เรื่องข้อจำกัดความเป็นธุรกิจของสื่อ ก็เป็นกำแพงอีกอย่าง เพราะสื่อมี 2 ขา นอกจากขาบริการข่าวสารสาธารณะ ก็ยังต้องทำเงิน ทำกำไร แต่มันก็มีเส้นหลักการที่ต้องยึดถือ รวมไปถึงการใช้ทักษะที่มีเพื่อต่อรองกับอีกขาดังกล่าว เพื่อให้ได้ทั้งเงิน และตอบสนองพันธกิจที่ยึดโยงกับประชาชนในแง่ที่ว่า ประชาชนรับรองเสรีภาพการหาข้อมูลข่าวสารมารายงานของสื่อ

“เรารู้สึกยินดีกับการที่ไม่ว่าจะนักเรียนสื่อเองหรือประชาชนที่ส่งเสียงออกมาเรียกร้องอิสระของสื่อ เพราะมันไม่ใช่แค่การกำกับสื่อให้ทำหน้าที่ให้สมกับการเป็นสื่อมวลชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยผลักเพดานให้อำนาจที่ต้องการจะควบคุมหรือจำกัดสื่อเขาตระหนักว่ามีประชาชนจับตาอยู่ มันมีค่ามาก ๆ กับการส่งเสียงออกไป และสำหรับการเข้ามาเรียนด้าน Journalism นอกจากเป็นการพูดในฐานะประชาชนแล้ว ยังเป็นการออกมาขับเคลื่อนวงการนี้และร่วมกันในการผลักเพดานต่าง ๆ ออกไปในอนาคต”

เรื่องและภาพโดย ธัญกร อุดมฐิติพงศ์ Journalism ไอซีที นิเทศศาสตร์ ศิลปากร รุ่น 13
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 6 ตุลาคม 2564

FacebookTwitterEmailCopy Link

Popular

View all
ฝนตกน้ำท่วม “นนทบุรี” อ่วม เหตุผังเมืองไร้ทิศทาง
News

ฝนตกน้ำท่วม “นนทบุรี” อ่วม เหตุผังเมืองไร้ทิศทาง

‘ยกยอ’ ทอแสงตะวัน วิถีชาวคลองปากประ พัทลุง
Lifestyle

‘ยกยอ’ ทอแสงตะวัน วิถีชาวคลองปากประ พัทลุง

เรียน Journalism ไปทำอะไร?
News

เรียน Journalism ไปทำอะไร?

เด็กศิลปากรโดนถามอะไรกันบ้าง ?
Video

เด็กศิลปากรโดนถามอะไรกันบ้าง ?

เสียงของซาเล้งที่ดังไม่ถึงรัฐบาล
Quality of Life

เสียงของซาเล้งที่ดังไม่ถึงรัฐบาล

เด็กไทยภายใต้วาทกรรม ‘เด็กดี’
Opinions

เด็กไทยภายใต้วาทกรรม ‘เด็กดี’