Opinions

เม.ย.-พ.ค. 53 ‘ความจริง’ คนละม้วน เมื่อฉันถูกทำให้เชื่อและเลิกเชื่อจากสื่อ

FacebookTwitterEmailCopy Link
เม.ย.-พ.ค. 53 ‘ความจริง’ คนละม้วน เมื่อฉันถูกทำให้เชื่อและเลิกเชื่อจากสื่อ

10 ปี เหตุการณ์ ‘เมษายน-พฤษภาคม 2553’ ปีนี้ เป็นปีที่ฉันกำลังเข้าสู่วัยทำงานออกไปเป็น Journalist

ถ้าจะย้อนกลับไปในเหตุการณ์ ‘สลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง’ วันนั้นฉันยังเป็นเด็ก 12 ขวบ เรื่องนี้แทบจะเป็นความทรงจำสีจาง ๆ ในวัยเด็ก   

ขณะนั้น ฉันน่าจะกำลังเรียนมัธยมต้น ใช้ชีวิตเหมือนเด็กชนชั้นกลางทั่วไป วันๆ ก็เอาแต่เรียนตามหนังสือและทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่กระทรวงศึกษาธิการ และโรงเรียนกำหนดไว้ให้

วิถีอื่นนอกเหนือจากวันธรรมดา ๆ แบบนั้นก็หมดไปกับการนั่งทำการบ้าน เหลือเวลาเล็กๆ น้อยๆ ก็ใช้ไปกับการเที่ยวเล่น

จึงเห็นเหตุการณ์บ้านเมืองเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปี 2553 ผ่านตาจากภาพเคลื่อนไหวและเสียงบนจอแบน ๆ ของโทรทัศน์ ระหว่างใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ขณะกินข้าวเช้าก่อนไปโรงเรียน ช่วงบ่ายของวันหยุดที่นอนอ่านหนังสือ หรือ ตอนโพล้เพล้ที่เดินผ่านกลางบ้านเพื่อหาขนมรับประทานในครัว เท่านั้น

ภาพที่แจ่มชัดที่สุดในตอนนั้น สื่อทั้งหลายบอกฉันว่า เกิดการประท้วงขึ้นใจกลางกรุงเทพฯ โดยมีกลุ่มคนต่างจังหวัดที่ไม่ค่อยรู้หนังสือเดินทางเข้ามาในเมือง และทุกคนในที่นั้นใส่เสื้อสีแดงเป็นสัญลักษณ์

ฉันในวันนั้นไม่เข้าใจว่า พวกเขามีจุดประสงค์อะไรที่ทำแบบนี้ 

‘ฝูงชนคนเสื้อสีแดงเต็มถนนไปหมด กลุ่มหนึ่งร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายเสียงดัง อีกกลุ่มหนึ่งถือไม้หน้าสามจะทุบรถ กลุ่มหนึ่งเตรียมจะเผาสิ่งของรอบ ๆ ตัว’

นี่เป็นสิ่งที่สื่อรายงานออกมาทุกวัน โดยให้ความหมายกับเหตุการณ์นี้ว่า การชุมนุมของประชาชนกลุ่มนี้เป็นความวุ่นวาย พวกเขาเป็นคนไม่มีเหตุผล เป็นกลุ่มคนร้ายกาจ น่ากลัวและใช้ความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ    

ผลลัพธ์จากการได้ดูข่าวบ่อย ๆ เด็กน้อยเช่นฉันจึงภาวนาให้มันจบลงเสียที

ก่อนสงกรานต์ปีนั้น ไปจนถึง 19 พฤษภาคม มีการสลายการชุมนุมใหญ่ ๆ ที่แยกคอกวัว ถ.ราชดำเนิน และแยกราชประสงค์ ฉันจำได้แค่ว่า มีการปะทะกันเกิดขึ้น สื่อหลักรายงานข่าวว่า มีคนเจ็บ คนตาย

ไม่นานทุกอย่างก็จบลงไปแบบเงียบ ๆ ภาพที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อเหลือทิ้งไว้เพียงเศษซากของตึกอาคารที่ถูกเผา

เหตุการณ์ถูกทำให้ดูเหมือนกับว่า ความสูญเสียที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติของการปราบปราม

สื่อหลักเจ้าใหญ่ ๆ ไม่ได้นำเสนอประเด็นการใช้ความรุนแรงโดยรัฐ การใช้กระสุนจริง จำนวนกระสุนที่เบิกมา ผู้เสียชีวิตอยู่ในสภาพมือเปล่า

ซ้ำร้าย 2-3 วัน หลังจากนั้น ยังประโคมข่าวการร่วมด้วยช่วยกันของคนทั่วกรุงเทพฯ ล้างเมืองให้สะอาดเพื่อเตรียมความพร้อมในการให้บริการและเปิดใช้งานของสถานที่และถนนสายต่าง ๆ

ฉันจำชื่อกิจกรรมดังกล่าวได้ว่า Bangkok Big Cleaning Day (ทำความสะอาดกรุงเทพฯ) บนจอโทรทัศน์เกือบทุกช่อง

ตอนนั้นมันยิ่งตอกย้ำให้ฉันรู้สึกว่า ในที่สุดประเทศจะกลับมาสงบเหมือนเดิม และความปลอดภัยกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง

หลังจบเหตุการณ์เดือนพฤษภาคมปี 2553 ฉันบันทึกความทรงจำสีจาง ๆ ที่เกิดขึ้นฝังลงหัวโดยไม่เคยนึกตั้งคำถามในความมืดบอดที่ถูกทำให้เชื่อแบบนั้น…

มองต้นไม้ให้เห็นป่ายามที่สื่อต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงรับใช้สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค

เวลาล่วงเลย ปีแล้วปีเล่า ฉันโตขึ้น ความรู้ ความจริง ชุดอื่นสอดแทรกเข้ามาในชีวิต 

ยิ่งการเลือกเรียนด้านวารสารศาสตร์ของฉันด้วย ทำให้ต้องวิ่งออกไปค้นคว้า ต้องอ่านต้องดูต้องฟังมากขึ้น ทั้งจากสื่อหลัก สื่อรอง

บรรดาหนังสือ บทความ ที่จับมาไขว้ชนกัน ระหว่างความรู้ชุดหลัก กับความรู้ชุดท้าทาย ที่ฉันได้รับมอบหมายให้อ่าน โดยเฉพาะในช่วงเรียนปี 2 (แทบจะเป็นช่วงที่อ่านหนังสือมากที่สุดในชีวิต) มันเริ่มสร้างความสงสัย

ฉันเริ่มขุดคุ้ยหาเองบนออนไลน์

อย่างน้อยบทความของอาจารย์ชื่อดัง ในสื่อหลักและสื่อออนไลน์ที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ  ในแต่ละสัปดาห์

หรือการได้โอกาสเข้าไปฝึกอบรมหลักสูตรถอดรื้อมายาคติของศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง (TCIJ)

มันทำให้ฉันเห็นข้อเท็จจริงชุดต่าง ๆ ถูกขยำผ่านแว่นตาแบบต่าง ๆ จนออกมาเป็นเรื่องเล่าหลากหลายแบบบนหลักการที่แตกต่างกัน  

เมื่ออ่านและชั่งน้ำหนัก ข้อเท็จจริง ตรรกะ เหตุผล และหลักการทางวารสารศาสตร์ที่ต้องเป็นผู้รับใช้ในด้านจัดหาข้อมูลข่าวสารเพื่อสิทธิเสรีภาพและการปกครองตนเองของพลเมืองแล้ว

ฉันขอยอมรับแบบตรงไปตรงมาว่า มันเป็นเรื่องยากพอสมควรสำหรับฉัน

เพราะความรู้สึกที่มักจะเจ็บปวดอยู่เสมอเมื่อสิ่งที่ได้รู้เพิ่มมานั้น กระทุ้งความเชื่อที่สะสมมานานนับหลายปีให้สลายไปต่อหน้าต่อตา

เจ็บปวดที่เราเคยมืดบอด

เจ็บปวดเพราะมีผู้คนธรรมดาแบบเรา ๆ ต้องทุกข์ทรมานกับความสูญเสียแต่กลับไม่ได้รับความยุติธรรม 

ดังเช่นเมษา-พฤษภาปี 53

นึกย้อนไปตอนเป็นเด็ก ฉันเฝ้ามองเหตุการณ์นี้ผ่านสื่อหลักเพียงอย่างเดียวซึ่งข่าวส่วนใหญ่จึงค่อนข้าง “แบน”

มันถูกเล่าออกมาว่า คนเสื้อแดงเป็นคนกระทำอะไรหลาย ๆ อย่างที่รุนแรง

จากการที่ฉันศึกษาสื่อมาตลอด 4 ปี ทั้งทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ ฉันได้พบว่า การนำเสนอเนื้อหาของสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลักส่วนใหญ่ยังสนใจเสนอข่าวระดับปรากฏการณ์เท่านั้น

อะไรที่หวือหวาน่าตื่นเต้น รุนแรง เร้าอารมณ์ หรือเรียกว่า ‘สำเร็จรูป’ สอดคล้องกับความเชื่อของคนดูที่เป็นลูกค้าหลัก จึงถูกคัดเลือกมาชู

แต่อะไรที่ต้องทำความเข้าใจความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อน ไม่สอดคล้องกับความเชื่อหลัก (ซึ่งไม่รู้ว่าจะยืนอยู่บนหลักการวารสารศาสตร์ในบริบทเสรีประชาธิปไตยหรือไม่) ก็ไม่ค่อยถูกนำเสนอ

แง่หนึ่งฉันเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของปัจจัยภายใน-นอก อย่างเช่นทุน ด้วยสื่อเป็นธุรกิจ ‘การออกไปทำข่าวเชิงลึก’ ต้องใช้เวลานานสำหรับการพิสูจน์ข้อเท็จจริง และที่สำคัญมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก

แต่ที่สำคัญคือ การถูกครอบงำด้วยความรู้ ความจริงกระแสหลักที่สร้างโดยรัฐ

ฉันเคยดูภาพยนตร์เรื่อง Spotlight หรือ คนคลั่งข่าว ซึ่งสร้างจากเรื่องจริง สามารถทำให้เห็นภาพกระบวนการทำข่าวสืบสวนของบรรณาธิการและนักข่าวได้ ซึ่งมันยากและมีอุปสรรคมากมาย

แต่เมื่อข่าวที่พวกเขาเจาะ ได้ตีพิมพ์ สังคมเกิดแรงกระเพื่อมและค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น 

หรือภาพยนตร์สร้างจากเรื่องจริงเรื่อง The Post ที่ตีแผ่ เอกสารลับเพนตากอน จะอธิบายเงื่อนไขต่าง ๆ ว่าทำไมถึงสื่อถึงต้องทำหรือไม่ทำข่าวเช่นนั้น พร้อมกับการถูกผู้มีอำนาจเล่นงานทั้งทางตรงและทางอ้อม

แต่ท้ายที่สุดสื่อก็ยังเป็นฟันเฟืองของการทำความความจริงด้วยการยึดโยงกับประชาชนเป็นหลัก

เพราะเสรีภาพของประชาชนเป็นที่มาของเสรีภาพสื่อ (ฉันชอบคำนี้มากกว่าคำที่กลับกัน เพราะมันแสดงถึงพันธกิจสื่อที่ยึดโยงกับประชาชน ถ้าสื่อทำงานโดยยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง เอาหลังพิงประชาชน ประชาชนก็จะคุ้มครองเสรีภาพของสื่อเอง)

โดยที่สถาบันการเมืองสำคัญ ๆ จะช่วยปกป้องสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคของประชาชน ด้วยการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจฝ่ายอื่น ตามที่ระบอบการเมืองแบบเสรีประชาธิปไตยออกแบบไว้  

แต่เมื่อหันมามองสื่อไทย กับการเสนอข่าวในครั้งนั้น ก็ไม่ได้เจาะลึกไปถึงเหตุผลของการชุมนุม

ไม่ได้ขุดคุ้ยว่า เรากำลังอยู่ในระบอบการเมืองที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน และมีความไม่ชอบมาพากลต่าง ๆ ในการตั้งรัฐบาล จึงทำให้ผู้คนออกมาชุมนุม

ที่สำคัญการชุมนุมนั้นก็เป็นข้อเรียกร้องพื้น ๆ ในระบอบ แต่การชุมนุมทั้งหมดก็ถูกทำให้เป็นภาพความน่ากลัวไป

เมื่อเป็นเช่นนั้น ข่าวที่ออกมาจึงมีลักษณะในเซ้นส์ของเกมการเมือง ชิงไหวชิงพริบ ต่อสู้เพื่อแย่งอำนาจ ความเคลื่อนไหวรายวันแบบ ปิงปองโต้กันไปมา ที่ไม่เจาะให้เห็นความผิดปกติของระบอบการเมืองไทย 

ขณะที่ ฉันถูกสอนมาเสมอว่า ‘จะออกไปเป็นสื่อต้องมองต้นไม้ให้เห็นป่า’

ตัดภาพกลับที่สื่อหลักในตอนนั้น ฉันมองว่าไม่ค่อยทำการสืบสวนในเชิงข่าวเดือนเมษา-พฤษภาปี 53 และไม่มีการทำให้เห็นภาพของความสลับซับซ้อนเบื้องหลังของเหตุการณ์

ฉะนั้นแก่นเรื่องของเหตุการณ์จึงกลายเป็นการต่อสู้ของสองฝ่าย ส่วนใครจะเป็นพระเอก ขึ้นอยู่ว่ามีโอกาสพูดถึงหลังเหตุการณ์ได้มากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญผู้ชนะย่อมมีโอกาสมากกว่า

แน่นอนว่าครั้งนี้คนเสื้อแดงเป็นฝ่ายแพ้ ณ ตอนนั้นเขาจึงกลายเป็นผู้ร้ายที่เสียงดังที่สุด ทว่าเป็นผู้ถูกกระทำที่แทบไม่ได้ยิน…

สื่อกับวาทกรรมตกค้างผู้ก่อการร้ายและเผาบ้านเผาเมือง

เหตุการณ์ เมษา-พฤษภาปี 53 ผ่านมาหลายปี เมื่อฉันได้ค้นคว้า ชั่งน้ำหนักข้อเท็จจริงและหลักการ ฉันตาสว่างแบบที่เรียกว่าเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ

อย่างน้อย ๆ มี 2 ประเด็นหลัก ที่เคยมืดบอด คือ 1) ข้อกล่าวหาที่ว่า เสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว รัฐเป็นผู้นิยาม และมีส่วนต่าง ๆ เข้ามาปฏิบัติการให้กลายเป็นความจริงหลัก

และสื่อเองก็เป็นผู้ปฏิบัติการด้วยเช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นการเลือกภาพ ที่เป็นไปในทางการเผชิญหน้า การพาดหัวข่าว คำที่ใช้ซึ่งใช้ชุดคำจากฝั่งรัฐ หลังจากที่รัฐบาลขณะนั้นเรียกปฏิบัติการนั้นว่า “ขอคืนพื้นที่”

เป็นการใช้คำได้สุภาพมากแต่ในทางกลับกันทหารมีอาวุธครบมือ!

10 เมษายน ขณะรัฐส่งทหารเข้าไปจัดการ จนเริ่มพลบค่ำ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อจู่ๆ ก็ปรากฏชายชุดดำกราดยิงและปาระเบิดเข้าใส่ทหาร ทำให้มีทหารตาย 5 ราย รุ่งเช้าสื่อมวลชนพากันพาดหัวข่าวตามข้อกล่าวหาของรัฐบาลว่า คนเสื้อแดงคือผู้ก่อการร้าย คนเสื้อแดงฆ่ากันเองแล้วโยนความผิดให้รัฐบาล คนเสื้อแดงมีกองกำลังติดอาวุธ

ฉันสงสัยมากว่า พาดหัวแบบนี้ สื่อมวลชนรู้แล้วหรือว่าใครเป็นคนกระทำ

หรือเพียงแค่ฝ่ายรัฐบาลถูกโจมตีก็ส่งมอบความผิดไปให้ฝ่ายตรงข้ามทำนองนี้ได้เลย?

แน่นอนว่าพอสร้างความจริงผ่านสื่อออกไป มันแพร่กระจายไปในวงใหญ่

นับจากนั้นข้อหาผู้ก่อการร้ายถูกใช้อย่างกว้างขวาง และนำไปสู่ข้ออ้างที่จะปราบปรามอย่างรุนแรงในช่วงวันที่ 14-19 พฤษภาคม ผลคือมีผู้ชุมนุมเสียชีวิตเพิ่มอีก 72 คน (รวม 84 คน) บาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คน ขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเสียชีวิตอีก 5 ราย (รวมเป็น 10 ราย)

แต่ผ่านมาหลายปี ข้อเท็จจริงเรื่องนี้เมื่อผ่านการสอบสวนโดยศาล ศาลชี้ว่าไม่มีน้ำหนักให้เชื่อตามคำให้การของเจ้าหน้าที่ทหารว่ามีชายชุดดำยิงอยู่ภายในพื้นที่รอบวัดหรือภายในวัด กรณีสำคัญ 6 ศพวัดปทุมวนารามเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม

และศาลวินิจฉัยว่าการเสียชีวิตของทั้ง 6 คน เป็นผลจากการกระทำของทหาร (ข่าว ‘เปิดคำสั่งศาลโดยย่อ ทำไม 6 ศพ วัดปทุมเสียชีวิตจากทหาร’ จากเว็บไซด์ข่าวประชาไท เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2555 https://prachatai.com/journal/2013/08/48057)

ฉันว่าต้องมานั่งคิดแล้วว่าเหล่าสื่อมวลชนทั้งหลายสร้างความจริงออกมาเป็นข่าวเช่นนั้นได้อย่างไร? ซึ่งเป็นภาพที่ติดตาฉันมาก ๆ ในตอนเด็ก ซึ่งถูกทำให้มองว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้ายและการปราบปรามเป็นสิ่งที่ชอบธรรมแล้ว

สิ่งที่ฉันอยากจะพูดถึงประเด็นนี้อีกอย่างหนึ่ง คือ การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน จากบทความที่ฉันนำมาใช้ค่อนข้างบ่อยสำหรับการมองเรื่องต่าง ๆ ‘การเมืองคืออะไร?’ แปลโดย สิริพรรณ นกสวน สวัสดี และ ‘ประชาธิปไตยของฉัน ของท่านและของเธอ ของ ประจักษ์ ก้องกีรติ’

ทำให้เห็นถึงปรากฏการณ์เรื่องนี้ว่า คนเสื้อแดงเป็นประชาชนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับทุกคนในประเทศนั่นแหละ

เขาต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภาและจัดการเลือกตั้ง (แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ปฏิเสธที่จะทำตาม) ด้วยเหตุผลที่ว่าพวกเขาเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นฝ่ายรัฐบาลได้ เนื่องจากมีกองทัพหนุนหลัง ดังนั้นเขาเพียงแค่ต้องการไล่คนที่ไม่ได้มาจากพวกเขาออกไปแล้วมาเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ว่านี่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย มันทำได้และไม่ควรจบด้วยความรุนแรงเช่นนี้

ประเด็นที่ว่ามาสื่อที่ฉันเห็นก็ไม่ค่อยพูดถึง อาจจะเห็นบ้างตามสื่อทางเลือก เช่น ประชาไท แต่ทว่าอย่างที่รู้กันโดนสื่อหลักกลบหมด

2) เสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง ฉันคิดว่าน่าเป็นประโยคฝังหัวของใครหลาย ๆ คน

แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังมีคนอ้างข้อกล่าวหานี้อยู่เรื่อย ๆ คาดว่าน่าจะเห็นภาพตึกเซ็นทรัลเวิร์ลซึ่งเป็นที่รู้จักถูกเผาซ้ำ ๆ กรอภาพเคลื่อนไหวแบบวน ๆ  แม้ศาลอุทธรณ์ได้ยกฟ้องข้อหาวางเพลิงกับผู้ชุมนุมเสื้อแดงไปแล้วก็ตาม มีพยานบอกว่า ตลอด 2 เดือน เขาประสานงานกับผู้ชุมนุมอย่างดีแทบจะรู้จักกัน แต่วันเผาไม่ยักเจอหน้าคนพวกนี้เลย แต่เจอกลุ่มอื่นแทนที่ไม่รู้จัก (ข่าว ‘ที่ปรึกษาอัคคีภัยเซ็นทรัลฯ ยันจำเลยคดีเผา CTW ไม่สามารถวางเพลิงได้’ จากประชาไท เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2556)

และเมื่อแกนนำ นปช. ประกาศสลายการชุมนุม เจ้าหน้าที่ทหารของ ศอฉ. ได้เข้าควบคุมพื้นที่ของห้างและบริเวณรอบเซ็นทรัลเวิลด์ไว้ แต่ตั้งแต่เย็นไม่มีใครเคลียร์พื้นที่ให้ ปล่อยให้มันไหม้ได้อย่างนั้น

ความจริงส่วนนี้ทำให้ฉันอยากกลับไปนั่งดูจอโทรทัศน์หนา ๆ ที่บ้านอีกครั้ง เพ่งพินิจจนกว่าฉันจะตั้งคำถามถึงเหตุการณ์ในวันนั้นได้ 

….ในวาระครบ 10 ปี เหตุการณ์เมษา-พฤษภาปี 53 ปีนี้ ฉันนั่งมองอยู่หน้าไทม์ไลน์เฟซบุ๊ก ฟีดบทความ วิดีโอสัมภาษณ์ ข่าวเด้งขึ้นมาติด ๆ กัน

เรื่องเล่าในวันนั้นเปลี่ยนไป ไม่เหมือนยามที่ฉันเป็นเด็ก

ฉันได้ชมวิดีโอจาก The Matter สัมภาษณ์พะเยาว์ อัคฮาด แม่ของลูกที่เสียชีวิตเพราะตั้งใจเข้าไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในฐานะอาสาพยาบาล

‘ตั้งแต่วันนั้นที่รู้ว่าลูกตายไม่ใช่กระสุนสองนัด มันเป็นวันที่ฉันเปิดเกม จากผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลย ไม่รู้อะไรเลย กลายว่าต้องไปสู้ทุกอย่าง’

และท้ายคลิปบอกว่า จนถึงทุกวันนี้ความยุติธรรมก็ยังไม่มาถึง ไม่มีทหารขึ้นศาลแม้แต่คนเดียว

มันยิ่งตอกย้ำความจริงที่ว่า เหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 คือ ประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่รัฐไทยกล้าทำกับประชาชนอย่างโหดร้าย และผู้กระทำความผิดได้รับการยกเว้นการลงโทษตลอดมา

งานเขียนชิ้นนี้ของฉันไม่ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดของเหตุการณ์เดือนเมษา-พฤษภา 53 เป็นเพียงบางประเด็นที่หยิบยกออกมา

เพื่ออย่างน้อยที่สุดให้มันจะคอยเตือนใจฉันเองว่า เคยเกิดความรุนแรงเช่นนี้กับประชาชนไทย และสื่อเป็นคนร่วมสร้างความจริงของสังคมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง…

ผู้เขียน: รชา เหลืองบริสุทธิ์ บัณฑิตจากคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ม.ศิลปากร ปัจจุบัน Digital Journalist กรุงเทพธุรกิจออนไลน์    

หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรก 14 กรกฎาคม 2563

FacebookTwitterEmailCopy Link

Popular

View all
ฝนตกน้ำท่วม “นนทบุรี” อ่วม เหตุผังเมืองไร้ทิศทาง
News

ฝนตกน้ำท่วม “นนทบุรี” อ่วม เหตุผังเมืองไร้ทิศทาง

‘ยกยอ’ ทอแสงตะวัน วิถีชาวคลองปากประ พัทลุง
Lifestyle

‘ยกยอ’ ทอแสงตะวัน วิถีชาวคลองปากประ พัทลุง

เรียน Journalism ไปทำอะไร?
News

เรียน Journalism ไปทำอะไร?

เด็กศิลปากรโดนถามอะไรกันบ้าง ?
Video

เด็กศิลปากรโดนถามอะไรกันบ้าง ?

เสียงของซาเล้งที่ดังไม่ถึงรัฐบาล
Quality of Life

เสียงของซาเล้งที่ดังไม่ถึงรัฐบาล

เด็กไทยภายใต้วาทกรรม ‘เด็กดี’
Opinions

เด็กไทยภายใต้วาทกรรม ‘เด็กดี’