
13 ปีหลังมหาอุทกภัย 2554 “สื่อไทย” ยังคงวนเวียนอยู่กับการรายงานแบบ “แจ้งเตือน” เมื่อ “น้ำท่วม” มาเยือน แต่ทำไมไม่มีใครตั้งคำถามกับความเชื่อมโยงระหว่างนโยบายรัฐ การพัฒนาพื้นที่ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ?
“เตือน 26-28 ส.ค. ‘ฝนตกหนักถึงหนักมาก’ เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่า”
“24-30 ส.ค. เตือนเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก เช็กจังหวัดเตรียมรับมือ”
“เตือน ‘ลำปาง-เชียงใหม่’ เฝ้าระวัง น้ำล้นตลิ่ง สทนช. เผย 15 จังหวัดยังมีน้ำท่วม”
ทุกครั้งที่ภัยพิบัติทางธรรมชาติกำลังมาเยี่ยมเยือนประเทศไทย เราจะเห็นทุกสื่อพาดหัวตัวหนาด้วยคำว่า “เตือน” ซึ่งก็คงไม่แปลกนักหรอก เพราะเป็นเหตุการณ์ที่คาดว่ามันจะมีผลกระทบกับชีวิตผู้คน
แต่ที่คาใจก็คือ ส่วนใหญ่เป็นการรายงานแบบแจ้งให้ทราบเพียงอย่างเดียวทุกปี แต่ไม่ค่อยเห็นการพูดถึงแนวทางการแก้ปัญหาและการติดตามความก้าวหน้าของมัน
13 ปีที่แล้วสมัย “น้ำท่วมปี 2554” ฉันยังเป็นเด็กน้อยไม่รู้เดียงสาอายุเพียง 7 ปี ประเทศไทยประสบกับ “มหาอุทกภัย” ครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
ยอมรับว่าพื้นที่ที่ฉันอาศัยอยู่ค่อนข้างไม่ได้รับผลกระทบเท่าไรนัก ไม่ต้องเตรียมรับมือขนของขึ้นที่สูง ไม่มีอาสาสมัครคนไหนมาแจกถุงยังชีพ จึงไม่ได้รับรู้ว่าสถานการณ์ในขณะนั้นมันเลวร้ายถึงเพียงใด
ขณะนั้นสื่อบ้านเรารายงานสถานการณ์ การเตือนภัย และการเปิดรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยเช่นเดียวกับในปัจจุบัน
มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการบริหารการจัดการน้ำ การวางแผนป้องกันภัย ตลอดจนคำถามถึงการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
หรือเป็นเพราะเดือดร้อน “คนกรุงเทพฯ” จึงต้องรีบเร่งแก้ไข แล้วน้ำที่ท่วมจังหวัดอื่นเป็น 10 ครั้ง 20 ครั้งต่อปี ไม่สำคัญหรืออย่างไร?
เพราะฉันโตขึ้นมาก็ได้อ่าน ได้ฟัง ข่าวภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก ดินถล่ม อยู่ตลอด เป็นคำชุดเดิม ๆ อย่าง “เฝ้าระวัง” “เตรียมรับมือ” “ติดตามสถานการณ์” “เตือน” หรือ วิกฤตหนักสุดในรอบ 10 ปี 30 ปี หรือ 100 ปี
แต่ประเด็นใหญ่สุดก็มีเพียงเท่านี้ ไม่แน่ใจว่าประเทศไทยถอยหลังลงคลองหรืออย่างไร ถึงไม่เห็นการตั้งคำถามต่อความผิดปกติในแง่ของนโยบายและจัดการของรัฐ หรืออะไรที่ทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำซาก ตลอดจนวิธีจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่เป็นรูปธรรม
- น้ำท่วมซ้ำซาก-ภัยที่มาจากธรรมชาติอย่างเดียวจริงหรือ?
เรื่องน้ำท่วมดูเหมือนจะวนเวียนอยู่กับ “น้ำทะเล” ที่หนุนสูงขึ้น ปรากฏการณ์ “เอลนีโญ-ลานีญา” พายุสิบลูกร้อยลูกที่พัดผ่าน หรือปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น-น้อยลงกี่มิลลิลิตรต่อปี
แน่นอนว่าข้อมูลพวกนี้เป็นเรื่องสำคัญ และต้องรายงานให้ประชาชนทราบ แต่ฉันสงสัยว่า ไม่มีสาเหตุอื่น ๆ ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศจนส่งผลให้เกิด “น้ำท่วมซ้ำซาก” เช่นนี้ทุกปี หรือแม้แต่นโยบายที่รัฐบาลอ้างว่าแก้ไขปัญหาได้แน่นอน จนถึงบัดนี้ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปเลย
“น้ำท่วมภาคเหนือ” ปีนี้ ในระยะแรกกระแสข่าวสารที่ไหลเวียน (ซึ่งรวมถึงในโซเชียลมีเดีย) ดูยังสาละวนกับการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่แจกถุงยังชีพ ให้กำลังใจประชาชนผู้ประสบภัย ทั้ง ๆ ที่นายกรัฐมนตรี คือบุคคลที่ถืออำนาจมากที่สุด ควรประเมินสถานการณ์แล้วออกคำสั่งช่วยเหลือประชาชนมากกว่า
ประเด็นจึงไม่น่าจะใช่แค่เหตุการณ์นายกฯ ทำกับข้าวแจกพี่น้องประชาชน หรือโยงไปถึงเรื่องอาถรรพ์น้ำท่วมกับนายกฯ เพศหญิง
อันที่จริงสื่อวารสารศาสตร์ไม่ควรทำให้เรื่องพวกนี้เป็นหัวข้อข่าวใหญ่ สร้างสีสัน (Interest of public) มากเสียจนกลบประเด็นสำคัญที่เป็นความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ-ภูมิประเทศอันเกิดจากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งเป็นประโยชน์สาธารณะ (Public interest)
น้ำท่วมปีนี้ ที่ อ.เทิง จ.เชียงราย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอุทกภัยขั้นวิกฤตหนักที่สุดในรอบ 30 ปี เมื่อลองค้นความเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ก็พบรายงานวิจัยเรื่องศักยภาพที่พักแรมในภาคเหนือตอนบน ปี 2552 ระบุว่า จ.เชียงราย มีการเพิ่มจำนวนที่พักแรมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว หลังจากที่มีอัตราการเติบโตของรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นหลายแสนล้านบาท
เมื่อนำข้อมูลทางเศรษฐกิจชุดนี้มาเปรียบเทียบกับนโยบายป่าไม้แห่งชาติปี 2562 ซึ่งรายงานพื้นที่ป่าของประเทศระบุว่า พื้นที่มีอัตราการลดลงอย่างต่อเนื่อง และบางพื้นที่อาจมีการใช้ประโยชน์ไม่เหมาะสม หรือจัดสรรอย่างไม่เป็นธรรม โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการบุกรุกแผ้วถางป่าเพื่อเกษตรและรีสอร์ต
เห็นได้ว่าการเติบโตของการท่องเที่ยวส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของจำนวนรีสอร์ต ด้านหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของท้องถิ่น
แต่อีกด้านหนึ่ง การ “พัฒนา” แบบนี้มีการจัดการอย่างรอบคอบหรือไม่ เพื่อป้องกันผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อม เราจะวางสมดุลระหว่างระบบนิเวศที่จะมีผลกระทบต่อชีวิต กับเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวอย่างไรกันแน่
เพราะจากรายงานของกลุ่มธนาคารโลกปี 2564 ระบุว่า ไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมมากที่สุดในโลก มูลค่าความเสียหายเฉลี่ยต่อปีจากอุทกภัยในประเทศราว ๆ 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นเกือบ 100% ของมูลค่าความสูญเสียที่เกิดจากภัยธรรมชาติทั้งหมดในประเทศ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง
- “ปลูกป่าลดโลกร้อน” กับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครตีแผ่
ดูเหมือนว่าจะมีความพยายามหันมามองเรื่องสิ่งที่เรียกว่า “การพัฒนา” อยู่เหมือนกัน อย่างเช่นโครงการที่เราเคยได้ยินคือ โครงการปลูกต้นไม้ทดแทนเพื่อลดโลกร้อน
หลาย ๆ บริษัทขนาดใหญ่ในประเทศไทยได้นำกิจกรรมปลูกต้นไม้มาเป็นกลยุทธ์เพื่อใช้สื่อสารกับสังคมว่า ธุรกิจของตนรักษ์โลกและมุ่งมั่นต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) อย่างการส่งเสริมการปลูกป่า โดยวางเป้าหมายปลูกต้นไม้ X ต้นทั่วโลก ภายในปี 20XX
สิ่งที่น่าสงสัยคือ สื่อได้ลองตั้งคำถามหรือไม่ว่า โครงการปลูกต้นไม้ทั้งหลายแหล่มีการดูแลหลังกลบรากไม้ลงดินอย่างไร หรือแค่ปลูกแล้วก็ทิ้งไว้เฉย ๆ ให้ต้นไม้แสดงศักยภาพในการเจริญเติบโตด้วยตัวเอง
หรือมีการลงพื้นที่ไปสำรวจหรือไม่ว่า หลังจบโครงการปลูกต้นไม้เหล่านั้นกลายไปเป็นป่าจริง หรือเป็นเพียงแค่ “ป่าทิพย์”
ฉันอ่านบทความของ BBC เรื่อง How phantom forests are used for greenwashing กรณีอุตตรประเทศรัฐหนึ่งของอินเดีย ที่อ้างว่าได้ปลูกต้นไม้หลายสิบล้านต้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
บทความชิ้นนี้ระบุว่า เมื่อ BBC ลงไปตรวจสอบกลับพบว่ามีต้นไม้เพียงไม่กี่ต้นเท่านั้นที่อยู่รอด ซึ่งในความเห็นส่วนตัวของฉันมองว่าเรื่องนี้สามารถโยงไปถึงการฟอกเขียวของธุรกิจนายทุนขนาดใหญ่ ที่ทำไปเพียงเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่รับผิดชอบต่อสังคมและรักษ์โลกแก่บริษัท แต่อาจไม่ได้มีการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจริง
สำหรับรัฐบาลไทย มีโครงการปลูกป่าเช่นเดียวกัน เช่น โครงการส่งเสริมการปลูกต้นไม้เพื่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ระยะที่ 2 ปี 2560 ซึ่งอยู่ในการดำเนินงานของกรมป่าไม้ มีรายละเอียดสำคัญ ๆ คือ การจ่ายเงินสนับสนุนให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนเงิน 5,000 บาทต่อ 1 ไร่โดยแบ่งจ่ายเป็นระยะเวลา 5 ปี การยกเลิกการเข้าร่วมโครงการที่แบ่งเป็น 2 กรณี และรายละเอียดงบประมาณโครงการที่ใช้ไปกว่า 16 ล้านบาท

เงื่อนไขในการปลูกต้นไม้ 1 ไร่ เกษตรกรต้องปลูก 200 ต้น โดยหากคำนึงถึงปัจจัยการดูแลรักษา อย่าง ปุ๋ย หรือยากำจัดศัตรูพืช มีความเป็นไปได้ว่า ในระยะเวลา 5 ปี เงินจำนวน 5,000 บาท อาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร จนส่งผลให้เกิดการยกเลิกเข้าร่วมโครงการ
เนื่องจากกรมป่าไม้ไม่ได้มีการกำหนดอย่างแน่ชัดในส่วนของคำว่า “ภาวะเหตุสุดวิสัย” หมายความว่าอย่างไร? ทั้งยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับการดำเนินงานต่อหลังจากนั้นอย่างแน่ชัดว่า โครงการส่งเสริมการปลูกต้นไม้นี้ ทำให้เกิด “ป่า” ขึ้นจริง
และเมื่อตรวจสอบสถานการณ์พื้นที่ป่าไม้ในภาคเหนือล่าสุดปี 2566 ซึ่งมีพื้นที่ป่าประมาณ 37,976,519.37 ไร่ เมื่อเทียบกับปี 2565 พื้นที่ป่าในภาคเหนือลดลงไปถึง 171,143.04 ไร่ เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรในเมื่อมีทั้งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการป้องกัน รักษา และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ รวมถึงมีการอ้างว่า รัฐเห็นความสำคัญของพื้นที่ป่าไม้เพราะเปรียบเสมือนสถานที่เก็บรวบรวมความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตนานาชนิด และเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่ช่วยลดปริมาณของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศโลก
แต่ไฉนตลอดหลายปีที่ผ่านมาพื้นที่ป่าไม้จึงไม่มีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้น แถมยังลดลงไปเรื่อย ๆ
น่าสนใจว่า ตกลงแล้วบรรดาโครงการลดโลกร้อนหลาย ๆ โครงการในประเทศไทย ได้ผลลัพธ์หรือส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างไรกันแน่
อย่างน้อย ๆ น่าจะลงไปดูกันว่า ต้นไม้ที่ปลูกไปนั้นเติบโตเป็นป่าจริงหรือไม่? โดยข้อมูลเหล่านี้อาจเชื่อมโยงไปถึงโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างคาร์บอนเครดิต หรือโมเดลเศรษฐกิจ BCG (เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว: Bio-Circular-Green Economy) ได้อีกด้วย

- สื่อมีอยู่เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองกดดันไปสู่ความเปลี่ยนแปลง มิใช่แค่…มีอยู่
สำหรับสื่อวารสารศาสตร์ การพิสูจน์ข้อเท็จจริง (verification) เป็นหลักปฏิบัติสำคัญที่จะนำมาซึ่งข้อมูลที่ถูกพิสูจน์แล้ว (verified) แต่ดูเหมือนว่า สื่อไทยกลับไม่ให้ความสำคัญ ไม่ลงทุนเจาะข่าวให้ลึกลงไปถึงความจริงเบื้องหลังที่อาจส่งผลกระทบต่อหมู่มวลประชาชนผู้ซึ่งเราต้องมีหน้าที่รับใช้
ในหนังสือ Dateline Earth บทที่ 2 นักข่าวไร้พรมแดน ได้วิพากษ์วิจารณ์คุณค่าแบบ ‘ภววิสัย’ (Objectivity) ว่า การรายงานข่าวแบบตรงไปตรงมา อ้างความเป็นกลางในลักษณะวางตัวออกห่าง ไม่ตัดสินฝ่ายไหน ถูกต้องตามข้อเท็จจริงทุกระเบียบนิ้ว อาจมีปัญหาในแง่การขาดรายละเอียดที่จะทำให้เห็นถึงสาเหตุ และเสนอเสียงจากหลากหลายที่มองถึงทางออก
แน่นอนการรายงานตามเหตุการณ์ (event-oriented) นี้ไม่ใช่สิ่งผิดในตัวของมันเอง เราเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันตามสื่อท้องถิ่น ไปจนสื่อยักษ์ใหญ่ของประเทศ
แต่จะดีกว่าหรือไม่ หากเราเลือกเป็นนักวารสารศาสตร์เหมือนภาพยนตร์เรื่อง “Spotlight” ที่พยายามไปให้ถึงการเจาะปัญหาในเชิงระบบ
จากเห็น “ต้นไม้” ให้กลายเป็น “ป่าใหญ่” ที่สะเทือนไปทั่วโลก โดยหยิบยกเรื่องราวใกล้ตัวที่อาจกลายเป็นเรื่องคุ้นชินจนถูกมองข้ามไปเช่นเดียวกับประเด็นน้ำท่วมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจนน่าตกใจ
ถ้านักวารสารศาสตร์ทำหน้าที่เพียงแค่บันทึกสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่มองหาความเชื่อมโยงกันระหว่างปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ ก็น่าตั้งคำถามว่า วารสารศาสตร์คืออะไรกันแน่?
กฎหมายหละหลวมตรงไหนถึงปล่อยให้คนบุกรุกพื้นที่ป่า?
นายทุนบุกรุกเข้าครอบครองพื้นที่มีจำนวนมากมายแค่ไหน พวกเขาคือใคร และทำอะไรไปแล้วบ้าง?

จะเอาผิดคนเหล่านั้นอย่างไร?
โครงการปลูกป่ามีประโยชน์จริง หรือแค่สร้างภาพ มีป่าเกิดขึ้นจริงในพื้นที่โครงการนั้นหรือไม่?
ต้นไม้ที่นำไปปลูกส่งผลต่อระบบนิเวศโดยรอบพื้นที่นั้นไหม? ถ้าส่งผลเสียมากกว่า จะต้องทำอย่างไร ใครต้องรับผิดชอบกับการใช้งบประมาณไม่มีประสิทธิภาพ
น้ำท่วมเกิดขึ้นเพราะการทำไร่เลื่อนลอยของชาวบ้านจริง หรือเป็นมายาคติเพื่อกล่าวโทษ?
ความเสียหายจากอุทกภัยที่ได้รับ ประชาชนเรียกร้องอะไรได้บ้าง? มีกระบวนการดำเนินการอย่างไร? (หรือต้องไปสั่นระฆังร้องทุกข์หน้ารัฐสภา?)
กฎหมายที่มีอยู่ตอนนี้เอื้อประโยชน์ให้ใคร? ระหว่างประชาชน กับนายทุนตัวใหญ่ ๆ
คำถามมากมายเหล่านี้ฉันเชื่อว่าต้องมีผุดขึ้นมาในหัวของใครหลายคนแน่ ๆ แต่ก็ไม่รู้จะหันหน้าไปถามใคร หรือควรไปหาคำตอบแห่งหนตำบลใดก็ไม่อาจทราบได้
ในหนังสือการใช้สื่อสำหรับภาคประชาสังคมเพื่อประชาธิปไตย เขียนโดย ณรงค์ เกียรติคุณวงศ์ มีการกล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชนในสังคมประชาธิปไตย ที่ถูกมองว่าเป็น ‘อำนาจที่สี่’ ควบคู่ไปกับฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ นั่นหมายความว่าบทบาทหน้าที่ของสื่อมิได้จำกัดอยู่แค่การรายงานข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถขับเคลื่อนสังคมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้
หน้าที่ในการมองเหตุการณ์นั้น ๆ ที่เกิดขึ้นว่า ละเมิดปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนทั้ง 30 ข้อ ข้อใดบ้าง?
ยกตัวอย่างอุทกภัยที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งทุกปี ๆ แต่คนในพื้นที่ก็ไม่สามารถเคยชินกับมันได้ ซึ่งฉันมองว่าส่งผลทำให้ละเมิดข้อที่ 25 คุณภาพชีวิตที่ดี ทุกคนมีสิทธิในมาตรการครองชีพอันเพียงพอสำหรับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของตนและครอบครัว
เพราะน้ำป่าที่ไหลทะลักฉับพลันสร้างความเสียหายแก่อาชีพการทำมาหากิน ที่อยู่อาศัย อาหาร การดูแลรักษาทางการแพทย์ และบริการทางสังคมที่จำเป็นแต่ไม่เพียงพอ
ในบทความเรื่อง อภิสิทธิ์ของสื่อมวลชน เขียนโดย วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ เผยแพร่ใน The 101 .World พูดถึงพันธกิจของสื่อที่เป็นกระบอกเสียงให้เสียงที่ “เบา” กลายเป็นเสียงที่ “ดัง” ขึ้น (นัยคือเพิ่มอำนาจเพื่อต่อรองได้)
บทความนี้ยังระบุว่า อาชีพนักข่าวได้รับอนุญาตให้สามารถเข้าใกล้แหล่งข่าวได้ทุกระดับ ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ไปจนถึงบุคคลธรรมดาที่ไม่มีสถานะใด ๆ ในสังคม ใช้อภิสิทธิ์ที่ว่ามาในการเผยแพร่ข้อเท็จจริงหรือความคิดเห็น เพื่อช่วยกลุ่มคนที่เสียงของพวกเขาเบามากเสียจนส่งไปไม่ถึงกลุ่มผู้มีอำนาจหรือสาธารณะชนโดยทั่วไป ถือเป็นหนึ่งในบทบาทสำคัญของสื่อมวลชนที่จะช่วยส่งเสริมความเป็นธรรมในสังคมและปกป้องสิทธิมนุษยชน
อาจกล่าวได้ว่า หลักปฏิบัติของสื่อวารสารศาสตร์ผูกติดอยู่กับผลประโยชน์ของประชาชน มิใช่ความเป็นกลางที่อยุติธรรมเพื่อรักษาภาพลักษณ์หรือหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องร้อยเรียงเรื่องราวสืบสาวหาความจริงที่อยู่เบื้องหลัง เปิดโปงเงื่อนงำความผิดปกติที่เกิดขึ้นในสังคม เพื่อรับใช้พลเมืองในแง่เพิ่มอำนาจผลักดันช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
แต่ถ้าหากสื่อไทยมีหน้าที่แจ้งให้ทราบเพียงอย่างเดียว ก็ขอบคุณนะคะที่แจ้งให้ทราบ
เรื่องและภาพ: สิริกร เย็นเพ็ชร Journalism ไอซีที นิเทศศาสตร์ ศิลปากร รุ่น 16
เอกสารอ้างอิง
กุนดา ดิกชิต. (2557). โลกในอุ้งมือสื่อ Dateline Earth. กรุงเทพฯ: สวนเงินมีมา.
ณรงค์ เกียรติคุณวงศ์. (2564). การใช้สื่อสำหรับภาคประชาสังคมเพื่อประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า.
บุษบา สิทธิการ. (2552). รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง ศักยภาพที่พักแรมในภาคเหนือตอนบน: จังหวัดเชียงรายเพื่อรองรับการส่งเสริมการท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในฐานะที่เป็นภูมิภาครวม. เชียงราย: มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง.
วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์. (2564, 15 กรกฎาคม). อภิสิทธิ์ของสื่อมวลชน. The 101 World. https://www.the101.world/press-privilege/
สำนักจัดการที่ดินป่าไม้. (2562). นโยบายป่าไม้แห่งชาติ. กรุงเทพฯ: กรมป่าไม้.
สำนักจัดการที่ดินป่าไม้. (2565). โครงการจัดทำข้อมูลสภาพพื้นที่ป่าไม้ ปี พ.ศ. 2565. https://data.forest.go.th/dataset/dc4e33df-5397-41b1-9b42-4e6b30273684/resource/23a53811-c2cf-4e66-b750-26ec991d9ba5/download/-2565-.pdf
สำนักจัดการที่ดินป่าไม้. (2566). โครงการจัดทำข้อมูลสภาพพื้นที่ป่าไม้ ปี พ.ศ. 2566. https://data.forest.go.th/dataset/dc4e33df-5397-41b1-9b42-4e6b30273684/resource/eee61131-7fb1-4b28-b744-bf98c395c601/download/full-executive-summary-2566.pdf
ส่วนปลูกป่าภาคเอกชน. (2561). โครงการส่งเสริมการปลูกต้นไม้เพื่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ระยะที่ 2. https://forestinfo.forest.go.th/pfd/Download/DL228.pdf
Khadka, N. S. (2022, May 2). How phantom forests are used for greenwashing. BBC News. https://www.bbc.com/news/science-environment-61300708
World Bank Group. (2021). Climate risk country profile: Thailand. https://climateknowledgeportal.worldbank.org/sites/default/files/2021-08/15853-WB_Thailand%20Country%20Profile-WEB_0.pdf