Opinions

รายงาน ‘น้ำท่วม’ แบบไทยๆ ที่มนุษย์กับธรรมชาติกลายเป็น ‘คนละเรื่องเดียวกัน’

FacebookTwitterEmailCopy Link
รายงาน ‘น้ำท่วม’ แบบไทยๆ ที่มนุษย์กับธรรมชาติกลายเป็น ‘คนละเรื่องเดียวกัน’

13 ปีหลังมหาอุทกภัย 2554 “สื่อไทย” ยังคงวนเวียนอยู่กับการรายงานแบบ “แจ้งเตือน” เมื่อ “น้ำท่วม” มาเยือน แต่ทำไมไม่มีใครตั้งคำถามกับความเชื่อมโยงระหว่างนโยบายรัฐ การพัฒนาพื้นที่ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ?

“เตือน 26-28 ส.ค. ‘ฝนตกหนักถึงหนักมาก’ เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่า”

“24-30 ส.ค. เตือนเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก เช็กจังหวัดเตรียมรับมือ”

“เตือน ‘ลำปาง-เชียงใหม่’ เฝ้าระวัง น้ำล้นตลิ่ง สทนช. เผย 15 จังหวัดยังมีน้ำท่วม”

ทุกครั้งที่ภัยพิบัติทางธรรมชาติกำลังมาเยี่ยมเยือนประเทศไทย เราจะเห็นทุกสื่อพาดหัวตัวหนาด้วยคำว่า “เตือน” ซึ่งก็คงไม่แปลกนักหรอก เพราะเป็นเหตุการณ์ที่คาดว่ามันจะมีผลกระทบกับชีวิตผู้คน  

แต่ที่คาใจก็คือ ส่วนใหญ่เป็นการรายงานแบบแจ้งให้ทราบเพียงอย่างเดียวทุกปี แต่ไม่ค่อยเห็นการพูดถึงแนวทางการแก้ปัญหาและการติดตามความก้าวหน้าของมัน

13 ปีที่แล้วสมัย “น้ำท่วมปี 2554” ฉันยังเป็นเด็กน้อยไม่รู้เดียงสาอายุเพียง 7 ปี ประเทศไทยประสบกับ “มหาอุทกภัย” ครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์

ยอมรับว่าพื้นที่ที่ฉันอาศัยอยู่ค่อนข้างไม่ได้รับผลกระทบเท่าไรนัก ไม่ต้องเตรียมรับมือขนของขึ้นที่สูง ไม่มีอาสาสมัครคนไหนมาแจกถุงยังชีพ จึงไม่ได้รับรู้ว่าสถานการณ์ในขณะนั้นมันเลวร้ายถึงเพียงใด

ขณะนั้นสื่อบ้านเรารายงานสถานการณ์ การเตือนภัย และการเปิดรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยเช่นเดียวกับในปัจจุบัน

มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการบริหารการจัดการน้ำ การวางแผนป้องกันภัย ตลอดจนคำถามถึงการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

หรือเป็นเพราะเดือดร้อน “คนกรุงเทพฯ” จึงต้องรีบเร่งแก้ไข แล้วน้ำที่ท่วมจังหวัดอื่นเป็น 10 ครั้ง 20 ครั้งต่อปี ไม่สำคัญหรืออย่างไร?

เพราะฉันโตขึ้นมาก็ได้อ่าน ได้ฟัง ข่าวภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก ดินถล่ม อยู่ตลอด เป็นคำชุดเดิม ๆ อย่าง “เฝ้าระวัง” “เตรียมรับมือ” “ติดตามสถานการณ์” “เตือน” หรือ วิกฤตหนักสุดในรอบ 10 ปี 30 ปี หรือ 100 ปี

แต่ประเด็นใหญ่สุดก็มีเพียงเท่านี้  ไม่แน่ใจว่าประเทศไทยถอยหลังลงคลองหรืออย่างไร ถึงไม่เห็นการตั้งคำถามต่อความผิดปกติในแง่ของนโยบายและจัดการของรัฐ หรืออะไรที่ทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำซาก ตลอดจนวิธีจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่เป็นรูปธรรม

  • น้ำท่วมซ้ำซาก-ภัยที่มาจากธรรมชาติอย่างเดียวจริงหรือ?

เรื่องน้ำท่วมดูเหมือนจะวนเวียนอยู่กับ “น้ำทะเล” ที่หนุนสูงขึ้น ปรากฏการณ์ “เอลนีโญ-ลานีญา” พายุสิบลูกร้อยลูกที่พัดผ่าน หรือปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น-น้อยลงกี่มิลลิลิตรต่อปี

แน่นอนว่าข้อมูลพวกนี้เป็นเรื่องสำคัญ และต้องรายงานให้ประชาชนทราบ แต่ฉันสงสัยว่า ไม่มีสาเหตุอื่น ๆ ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศจนส่งผลให้เกิด “น้ำท่วมซ้ำซาก” เช่นนี้ทุกปี หรือแม้แต่นโยบายที่รัฐบาลอ้างว่าแก้ไขปัญหาได้แน่นอน จนถึงบัดนี้ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปเลย

“น้ำท่วมภาคเหนือ” ปีนี้ ในระยะแรกกระแสข่าวสารที่ไหลเวียน (ซึ่งรวมถึงในโซเชียลมีเดีย) ดูยังสาละวนกับการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่แจกถุงยังชีพ ให้กำลังใจประชาชนผู้ประสบภัย ทั้ง ๆ ที่นายกรัฐมนตรี คือบุคคลที่ถืออำนาจมากที่สุด ควรประเมินสถานการณ์แล้วออกคำสั่งช่วยเหลือประชาชนมากกว่า

ประเด็นจึงไม่น่าจะใช่แค่เหตุการณ์นายกฯ ทำกับข้าวแจกพี่น้องประชาชน หรือโยงไปถึงเรื่องอาถรรพ์น้ำท่วมกับนายกฯ เพศหญิง

อันที่จริงสื่อวารสารศาสตร์ไม่ควรทำให้เรื่องพวกนี้เป็นหัวข้อข่าวใหญ่ สร้างสีสัน (Interest of public) มากเสียจนกลบประเด็นสำคัญที่เป็นความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ-ภูมิประเทศอันเกิดจากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งเป็นประโยชน์สาธารณะ (Public interest)

น้ำท่วมปีนี้ ที่ อ.เทิง จ.เชียงราย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอุทกภัยขั้นวิกฤตหนักที่สุดในรอบ 30 ปี เมื่อลองค้นความเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ก็พบรายงานวิจัยเรื่องศักยภาพที่พักแรมในภาคเหนือตอนบน ปี 2552 ระบุว่า จ.เชียงราย มีการเพิ่มจำนวนที่พักแรมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว หลังจากที่มีอัตราการเติบโตของรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นหลายแสนล้านบาท

เมื่อนำข้อมูลทางเศรษฐกิจชุดนี้มาเปรียบเทียบกับนโยบายป่าไม้แห่งชาติปี 2562 ซึ่งรายงานพื้นที่ป่าของประเทศระบุว่า พื้นที่มีอัตราการลดลงอย่างต่อเนื่อง และบางพื้นที่อาจมีการใช้ประโยชน์ไม่เหมาะสม หรือจัดสรรอย่างไม่เป็นธรรม โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการบุกรุกแผ้วถางป่าเพื่อเกษตรและรีสอร์ต

เห็นได้ว่าการเติบโตของการท่องเที่ยวส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของจำนวนรีสอร์ต ด้านหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของท้องถิ่น

แต่อีกด้านหนึ่ง การ “พัฒนา” แบบนี้มีการจัดการอย่างรอบคอบหรือไม่ เพื่อป้องกันผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อม เราจะวางสมดุลระหว่างระบบนิเวศที่จะมีผลกระทบต่อชีวิต กับเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวอย่างไรกันแน่

  • “ปลูกป่าลดโลกร้อน” กับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครตีแผ่

ดูเหมือนว่าจะมีความพยายามหันมามองเรื่องสิ่งที่เรียกว่า “การพัฒนา” อยู่เหมือนกัน อย่างเช่นโครงการที่เราเคยได้ยินคือ โครงการปลูกต้นไม้ทดแทนเพื่อลดโลกร้อน

หลาย ๆ บริษัทขนาดใหญ่ในประเทศไทยได้นำกิจกรรมปลูกต้นไม้มาเป็นกลยุทธ์เพื่อใช้สื่อสารกับสังคมว่า ธุรกิจของตนรักษ์โลกและมุ่งมั่นต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) อย่างการส่งเสริมการปลูกป่า โดยวางเป้าหมายปลูกต้นไม้ X ต้นทั่วโลก ภายในปี 20XX

สิ่งที่น่าสงสัยคือ สื่อได้ลองตั้งคำถามหรือไม่ว่า โครงการปลูกต้นไม้ทั้งหลายแหล่มีการดูแลหลังกลบรากไม้ลงดินอย่างไร หรือแค่ปลูกแล้วก็ทิ้งไว้เฉย ๆ ให้ต้นไม้แสดงศักยภาพในการเจริญเติบโตด้วยตัวเอง

หรือมีการลงพื้นที่ไปสำรวจหรือไม่ว่า หลังจบโครงการปลูกต้นไม้เหล่านั้นกลายไปเป็นป่าจริง หรือเป็นเพียงแค่ “ป่าทิพย์”

ฉันอ่านบทความของ BBC เรื่อง How phantom forests are used for greenwashing กรณีอุตตรประเทศรัฐหนึ่งของอินเดีย ที่อ้างว่าได้ปลูกต้นไม้หลายสิบล้านต้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

บทความชิ้นนี้ระบุว่า เมื่อ BBC ลงไปตรวจสอบกลับพบว่ามีต้นไม้เพียงไม่กี่ต้นเท่านั้นที่อยู่รอด ซึ่งในความเห็นส่วนตัวของฉันมองว่าเรื่องนี้สามารถโยงไปถึงการฟอกเขียวของธุรกิจนายทุนขนาดใหญ่ ที่ทำไปเพียงเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่รับผิดชอบต่อสังคมและรักษ์โลกแก่บริษัท แต่อาจไม่ได้มีการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจริง

สำหรับรัฐบาลไทย มีโครงการปลูกป่าเช่นเดียวกัน เช่น โครงการส่งเสริมการปลูกต้นไม้เพื่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ระยะที่ 2 ปี 2560 ซึ่งอยู่ในการดำเนินงานของกรมป่าไม้ มีรายละเอียดสำคัญ ๆ คือ การจ่ายเงินสนับสนุนให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนเงิน 5,000 บาทต่อ 1 ไร่โดยแบ่งจ่ายเป็นระยะเวลา 5 ปี การยกเลิกการเข้าร่วมโครงการที่แบ่งเป็น 2 กรณี และรายละเอียดงบประมาณโครงการที่ใช้ไปกว่า 16 ล้านบาท

เนื่องจากกรมป่าไม้ไม่ได้มีการกำหนดอย่างแน่ชัดในส่วนของคำว่า “ภาวะเหตุสุดวิสัย” หมายความว่าอย่างไร? ทั้งยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับการดำเนินงานต่อหลังจากนั้นอย่างแน่ชัดว่า โครงการส่งเสริมการปลูกต้นไม้นี้ ทำให้เกิด “ป่า” ขึ้นจริง

และเมื่อตรวจสอบสถานการณ์พื้นที่ป่าไม้ในภาคเหนือล่าสุดปี 2566 ซึ่งมีพื้นที่ป่าประมาณ 37,976,519.37 ไร่ เมื่อเทียบกับปี 2565 พื้นที่ป่าในภาคเหนือลดลงไปถึง 171,143.04 ไร่ เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรในเมื่อมีทั้งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการป้องกัน รักษา และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ รวมถึงมีการอ้างว่า รัฐเห็นความสำคัญของพื้นที่ป่าไม้เพราะเปรียบเสมือนสถานที่เก็บรวบรวมความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตนานาชนิด และเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่ช่วยลดปริมาณของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศโลก

แต่ไฉนตลอดหลายปีที่ผ่านมาพื้นที่ป่าไม้จึงไม่มีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้น แถมยังลดลงไปเรื่อย ๆ

น่าสนใจว่า ตกลงแล้วบรรดาโครงการลดโลกร้อนหลาย ๆ โครงการในประเทศไทย ได้ผลลัพธ์หรือส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างไรกันแน่

อย่างน้อย ๆ น่าจะลงไปดูกันว่า ต้นไม้ที่ปลูกไปนั้นเติบโตเป็นป่าจริงหรือไม่? โดยข้อมูลเหล่านี้อาจเชื่อมโยงไปถึงโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างคาร์บอนเครดิต หรือโมเดลเศรษฐกิจ BCG (เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว: Bio-Circular-Green Economy) ได้อีกด้วย

  • สื่อมีอยู่เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองกดดันไปสู่ความเปลี่ยนแปลง มิใช่แค่มีอยู่

สำหรับสื่อวารสารศาสตร์ การพิสูจน์ข้อเท็จจริง (verification) เป็นหลักปฏิบัติสำคัญที่จะนำมาซึ่งข้อมูลที่ถูกพิสูจน์แล้ว (verified) แต่ดูเหมือนว่า สื่อไทยกลับไม่ให้ความสำคัญ ไม่ลงทุนเจาะข่าวให้ลึกลงไปถึงความจริงเบื้องหลังที่อาจส่งผลกระทบต่อหมู่มวลประชาชนผู้ซึ่งเราต้องมีหน้าที่รับใช้

ในหนังสือ Dateline Earth บทที่ 2 นักข่าวไร้พรมแดน ได้วิพากษ์วิจารณ์คุณค่าแบบ ‘ภววิสัย’ (Objectivity) ว่า การรายงานข่าวแบบตรงไปตรงมา อ้างความเป็นกลางในลักษณะวางตัวออกห่าง ไม่ตัดสินฝ่ายไหน ถูกต้องตามข้อเท็จจริงทุกระเบียบนิ้ว อาจมีปัญหาในแง่การขาดรายละเอียดที่จะทำให้เห็นถึงสาเหตุ และเสนอเสียงจากหลากหลายที่มองถึงทางออก 

แน่นอนการรายงานตามเหตุการณ์ (event-oriented) นี้ไม่ใช่สิ่งผิดในตัวของมันเอง เราเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันตามสื่อท้องถิ่น ไปจนสื่อยักษ์ใหญ่ของประเทศ

แต่จะดีกว่าหรือไม่ หากเราเลือกเป็นนักวารสารศาสตร์เหมือนภาพยนตร์เรื่อง “Spotlight” ที่พยายามไปให้ถึงการเจาะปัญหาในเชิงระบบ

จากเห็น “ต้นไม้” ให้กลายเป็น “ป่าใหญ่” ที่สะเทือนไปทั่วโลก โดยหยิบยกเรื่องราวใกล้ตัวที่อาจกลายเป็นเรื่องคุ้นชินจนถูกมองข้ามไปเช่นเดียวกับประเด็นน้ำท่วมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจนน่าตกใจ

กฎหมายหละหลวมตรงไหนถึงปล่อยให้คนบุกรุกพื้นที่ป่า?

นายทุนบุกรุกเข้าครอบครองพื้นที่มีจำนวนมากมายแค่ไหน พวกเขาคือใคร และทำอะไรไปแล้วบ้าง?

จะเอาผิดคนเหล่านั้นอย่างไร?

โครงการปลูกป่ามีประโยชน์จริง หรือแค่สร้างภาพ มีป่าเกิดขึ้นจริงในพื้นที่โครงการนั้นหรือไม่?

ต้นไม้ที่นำไปปลูกส่งผลต่อระบบนิเวศโดยรอบพื้นที่นั้นไหม? ถ้าส่งผลเสียมากกว่า จะต้องทำอย่างไร ใครต้องรับผิดชอบกับการใช้งบประมาณไม่มีประสิทธิภาพ

น้ำท่วมเกิดขึ้นเพราะการทำไร่เลื่อนลอยของชาวบ้านจริง หรือเป็นมายาคติเพื่อกล่าวโทษ?

ความเสียหายจากอุทกภัยที่ได้รับ ประชาชนเรียกร้องอะไรได้บ้าง? มีกระบวนการดำเนินการอย่างไร? (หรือต้องไปสั่นระฆังร้องทุกข์หน้ารัฐสภา?)

กฎหมายที่มีอยู่ตอนนี้เอื้อประโยชน์ให้ใคร? ระหว่างประชาชน กับนายทุนตัวใหญ่ ๆ

คำถามมากมายเหล่านี้ฉันเชื่อว่าต้องมีผุดขึ้นมาในหัวของใครหลายคนแน่ ๆ แต่ก็ไม่รู้จะหันหน้าไปถามใคร หรือควรไปหาคำตอบแห่งหนตำบลใดก็ไม่อาจทราบได้

หน้าที่ในการมองเหตุการณ์นั้น ๆ ที่เกิดขึ้นว่า ละเมิดปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนทั้ง 30 ข้อ ข้อใดบ้าง?

ยกตัวอย่างอุทกภัยที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งทุกปี ๆ แต่คนในพื้นที่ก็ไม่สามารถเคยชินกับมันได้ ซึ่งฉันมองว่าส่งผลทำให้ละเมิดข้อที่ 25 คุณภาพชีวิตที่ดี ทุกคนมีสิทธิในมาตรการครองชีพอันเพียงพอสำหรับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของตนและครอบครัว

เพราะน้ำป่าที่ไหลทะลักฉับพลันสร้างความเสียหายแก่อาชีพการทำมาหากิน ที่อยู่อาศัย อาหาร การดูแลรักษาทางการแพทย์ และบริการทางสังคมที่จำเป็นแต่ไม่เพียงพอ

ในบทความเรื่อง อภิสิทธิ์ของสื่อมวลชน เขียนโดย วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ เผยแพร่ใน The 101 .World พูดถึงพันธกิจของสื่อที่เป็นกระบอกเสียงให้เสียงที่ “เบา” กลายเป็นเสียงที่ “ดัง” ขึ้น (นัยคือเพิ่มอำนาจเพื่อต่อรองได้)

อาจกล่าวได้ว่า หลักปฏิบัติของสื่อวารสารศาสตร์ผูกติดอยู่กับผลประโยชน์ของประชาชน มิใช่ความเป็นกลางที่อยุติธรรมเพื่อรักษาภาพลักษณ์หรือหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องร้อยเรียงเรื่องราวสืบสาวหาความจริงที่อยู่เบื้องหลัง เปิดโปงเงื่อนงำความผิดปกติที่เกิดขึ้นในสังคม เพื่อรับใช้พลเมืองในแง่เพิ่มอำนาจผลักดันช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

แต่ถ้าหากสื่อไทยมีหน้าที่แจ้งให้ทราบเพียงอย่างเดียว ก็ขอบคุณนะคะที่แจ้งให้ทราบ

เรื่องและภาพ: สิริกร เย็นเพ็ชร Journalism ไอซีที นิเทศศาสตร์ ศิลปากร รุ่น 16  

เอกสารอ้างอิง

กุนดา ดิกชิต. (2557). โลกในอุ้งมือสื่อ Dateline Earth. กรุงเทพฯ: สวนเงินมีมา.

ณรงค์ เกียรติคุณวงศ์. (2564). การใช้สื่อสำหรับภาคประชาสังคมเพื่อประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า.

บุษบา สิทธิการ. (2552). รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง ศักยภาพที่พักแรมในภาคเหนือตอนบน: จังหวัดเชียงรายเพื่อรองรับการส่งเสริมการท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในฐานะที่เป็นภูมิภาครวม. เชียงราย: มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง.

วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์. (2564, 15 กรกฎาคม). อภิสิทธิ์ของสื่อมวลชน. The 101 World. https://www.the101.world/press-privilege/

สำนักจัดการที่ดินป่าไม้. (2562). นโยบายป่าไม้แห่งชาติ. กรุงเทพฯ: กรมป่าไม้.

สำนักจัดการที่ดินป่าไม้. (2565). โครงการจัดทำข้อมูลสภาพพื้นที่ป่าไม้ ปี พ.ศ. 2565. https://data.forest.go.th/dataset/dc4e33df-5397-41b1-9b42-4e6b30273684/resource/23a53811-c2cf-4e66-b750-26ec991d9ba5/download/-2565-.pdf

สำนักจัดการที่ดินป่าไม้. (2566). โครงการจัดทำข้อมูลสภาพพื้นที่ป่าไม้ ปี พ.ศ. 2566. https://data.forest.go.th/dataset/dc4e33df-5397-41b1-9b42-4e6b30273684/resource/eee61131-7fb1-4b28-b744-bf98c395c601/download/full-executive-summary-2566.pdf

ส่วนปลูกป่าภาคเอกชน. (2561). โครงการส่งเสริมการปลูกต้นไม้เพื่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ระยะที่ 2. https://forestinfo.forest.go.th/pfd/Download/DL228.pdf

Khadka, N. S. (2022, May 2). How phantom forests are used for greenwashing. BBC News. https://www.bbc.com/news/science-environment-61300708

World Bank Group. (2021). Climate risk country profile: Thailand. https://climateknowledgeportal.worldbank.org/sites/default/files/2021-08/15853-WB_Thailand%20Country%20Profile-WEB_0.pdf

FacebookTwitterEmailCopy Link

Popular

View all
ฝนตกน้ำท่วม “นนทบุรี” อ่วม เหตุผังเมืองไร้ทิศทาง
News

ฝนตกน้ำท่วม “นนทบุรี” อ่วม เหตุผังเมืองไร้ทิศทาง

‘ยกยอ’ ทอแสงตะวัน วิถีชาวคลองปากประ พัทลุง
Lifestyle

‘ยกยอ’ ทอแสงตะวัน วิถีชาวคลองปากประ พัทลุง

เรียน Journalism ไปทำอะไร?
News

เรียน Journalism ไปทำอะไร?

เด็กศิลปากรโดนถามอะไรกันบ้าง ?
Video

เด็กศิลปากรโดนถามอะไรกันบ้าง ?

เสียงของซาเล้งที่ดังไม่ถึงรัฐบาล
Quality of Life

เสียงของซาเล้งที่ดังไม่ถึงรัฐบาล

เด็กไทยภายใต้วาทกรรม ‘เด็กดี’
Opinions

เด็กไทยภายใต้วาทกรรม ‘เด็กดี’