Quality of Life

ทะเลไทยเดือด-คลื่นแรง-น้ำเป็นกรด โลกร้อนทำนิเวศอ่าวเมืองเพชรฯพัง

FacebookTwitterEmailCopy Link
ทะเลไทยเดือด-คลื่นแรง-น้ำเป็นกรด โลกร้อนทำนิเวศอ่าวเมืองเพชรฯพัง

โลกร้อนสะเทือนอ่าวไทยชั้นใน! พบอุณหภูมิน้ำทะเลเพชรบุรีพุ่ง 32 องศาเซลเซียสสูงกว่าค่าเฉลี่ย 6 องศาฯแถมทำคลื่นลมแปรปรวนกัดเซาะหาดไปแล้ว 5.6 กม.รอบ 10 ปีหลังซ้ำน้ำทะเลเป็นกรดเต่าทะเลวาฬโลมาสัตว์ชี้วัดนิเวศสมดุลหายรัฐผุดแผนลดก๊าซเรือนกระจกรับมือ

ทุกเดือนสิงหาคม-ธันวาคม ที่อ่าวบางตะบูน อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศจะพากันมาขอให้ชาวประมงที่นี่พาพวกเขานั่งเรือออกไปชมฝูงวาฬโอมุระซึ่งพวกมันว่ายตามฝูงปลาเล็ก ๆ เข้ามาเพื่อกินเป็นอาหาร ทำให้นายจรูญ พงศ์พิทักษ์ วัย 65 ปี ชาวบ้านที่นี่ ตัดสินใจเปิดกิจการล่องเรือชมวาฬเป็นเจ้าแรกเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ควบคู่ไปกับทำประมงพื้นบ้าน   

เขาบอกว่า ความอุดมสมบูรณ์ของอ่าวไทยชั้นในซึ่งกินพื้นที่มาถึงชายทะเลเพชรบุรี ยังพาโลมาปากชวด โลมาหัวบาตรหลังเรียบ และโลมาเผือก มาตั้งถิ่นฐานที่นี่

แต่หลังจากเปิดกิจการไม่ถึงปี จู่ ๆ โลมาเหล่านี้ก็ย้ายถิ่นฐานลงใต้ แม้อ่าวไทยชั้นในที่รู้จักในนาม ‘อ่าวรูปตัว ก’ จะมีสมาชิกใหม่คือ โลมาอิรวดีเข้ามาแทน แต่พบได้น้อยครั้งและมีไม่กี่ฝูง ซ้ำอีก 10 ปีถัดมา วาฬโอมุระหรือที่ชาวประมงที่นี่เรียกว่า วาฬแกลบ ก็ได้อพยพย้ายถิ่นฐานไปเช่นกัน แม้จะมีวาฬบรูด้าเข้ามาอาศัย แต่ขณะนี้ทั้งคู่กำลังจะหายไป

“สาเหตุที่วาฬแกลบและพวกโลมาหายไปอาจเป็นเพราะทะเลแถวนี้ไม่เหมือนเดิม ระบบนิเวศในท้องทะเลเริ่มเปลี่ยน และแหล่งอาหารไม่พอสำหรับพวกมัน พวกมันจึงต้องไปหาที่อยู่ใหม่” ชาวประมงหลายคนที่อ่าวบางตะบูน บอก 

ทีมข่าวลูกศิลป์ ศูนย์ข่าวเพชรบุรี ตรวจสอบข้อมูลสภาพแวดล้อมชายฝั่งย้อนหลังช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจากรายงานข้อมูลน้ำและภูมิอากาศแห่งชาติ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) พบว่า น้ำทะเลชายฝั่งจังหวัดเพชรบุรีมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นประมาณ 0.5 องศาเซลเซียสในรอบทศวรรษ

รายงานล่าสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ยังระบุว่า ปี 2561 อุณหภูมิน้ำทะเลบริเวณนี้แปรปรวนสูง โดยพุ่งสูงถึง 32 องศาเซลเซียส ยาวนานเกือบ 2 สัปดาห์ เป็นแบบนี้หลายครั้งในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ขณะที่อุณหภูมิน้ำทะเลอ่าวไทยปกติจะอยู่ที่ 26-28 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิสูงโดดขึ้นก็จะเป็นช่วงสั้น ๆ แค่ 1-2 วัน 

โลกร้อนทำอุณหภูมิน้ำแปรปรวนคลื่นแรง

นายสมเกียรติ ขอเกียรติวงศ์ อดีตผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อธิบายว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นผลจากภาวะโลกร้อน และยังทำให้ระดับน้ำทะเลสูงมากขึ้นเพราะน้ำแข็งและหิมะละลายมากขึ้น ผลที่ตามมาคือ คลื่นลมแรงขึ้นและกัดเซาะชายฝั่งมากขึ้น

ทีมข่าวได้ตรวจสอบสถานการณ์การกัดเซาะชายหาดจากระบบฐานข้อมูลกลางและมาตรฐานข้อมูลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่า ข้อมูลล่าสุดเดือนพฤศจิกายน 2561 ชายฝั่งเพชรบุรีถูกกัดเซาะไปแล้วกว่า 5.6 กิโลเมตร ในช่วงปี 2550-2560 สถานการณ์รุนแรงสุดเกิดขึ้นที่ตำบลปากทะเล อำเภอบ้านแหลม กินความยาวกว่า 2.39 กิโลเมตร

ฐานข้อมูลดังกล่าวยังระบุว่า หาดทรายเป็นแหล่งวางไข่ของเต่าทะเล เป็นตัวสะท้อนระบบนิเวศหาดทรายซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของห่วงโซ่อาหาร หากมันผุกร่อนจากคลื่นลมแรงมากกว่าปกติ สายใยอาหารที่สำคัญก็หายไป

นายมนู อรัญพันธ์ กรรมการจังหวัดเพชรบุรีด้านสิ่งแวดล้อม หัวหน้าชมรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อำเภอแหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี และอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล กล่าวว่า รัฐสร้างกำแพงกันคลื่นกัดเซาะชายหาด ทำให้เต่าทะเลอย่างเต่ากระ เต่ามะเฟือง เต่าตนุซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สงวนและคุ่มครองสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. 2535 เข้ามาวางไข่ไม่ได้ ต้องไปวางไข่ในทะเล ประชากรเต่าจึงลดลง

ทะเลเป็นกรดมากขึ้นเสี่ยงสัตว์อยู่ไม่ได้

ทีมข่าวตรวจสอบต่อไปถึงสภาพน้ำในทะเล โดยเว็บไซต์เอ็นไวรอนเน็ต ศูนย์สารสนเทศสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ปกติมหาสมุทรจะมีค่าแสดงความเป็นกรด-เบส (pH) ประมาณ 8.0-8.1 ซึ่งมีความเป็นเบสเล็กน้อย ทั้งนี้ถ้าค่าความเป็นกรด-เบส น้อยกว่า 7 สารชนิดนั้นก็จะมีฤทธิ์เป็นกรด แต่เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2559 เว็บไซต์องค์กรว่าด้วยสิ่งแวดล้อมแห่งสหภาพยุโรป (European Environment Agency หรือ EEA) เผยแพร่ผลสำรวจค่าความเป็นกรด-เบสของพื้นผิวมหาสมุทรว่า จากที่ค่าความเป็นกรด-เบสอยู่ที่ 8.04 ในปี 2531 แต่ 24 ปีต่อมา คือปี 2557 พื้นผิวมหาสมุทรมีค่าเข้าใกล้ความเป็นกรดมากขึ้น คืออยู่ที่ 8.0

“แม้ตัวเลขจะลดลงเพียง 0.04 แต่ผลที่เกิดขึ้นยิ่งใหญ่และเกี่ยวข้องกับสัตว์หลายชนิด หากตัวเลขลดลงมากกว่านี้อาจหมายความว่า ออกซิเจนในทะเลจะหมดไปจนทำให้สิ่งมีชีวิตที่หายใจด้วยเหงือกไม่สามารถอาศัยอยู่ได้” รายงานระบุ

เต่าวาฬโลมาหายสะท้อนนิเวศพัง

มีรายงานการประเมินสุขภาพวาฬบรูด้าที่สำรวจพบบริเวณอ่าวไทยตอนบนจากภาพถ่ายและการสังเกต ในเดือนตุลาคม 2561 โดย สพ.ญ. ราชาวดี จันทรา นายสุรศักดิ์ ทองสุกดี นายสุรชัย ภาสดา นายธีรวัตร เปรมปรี และนางสาวพัชราภรณ์ เยาวสุต สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน ระบุว่า วาฬบรูด้า 39 ตัว มีความผิดปกติ โดยพบรอยโรค 1 ลักษณะจำนวน 23 ตัว พบรอยโรค 2 ลักษณะ 3 ตัว และรอยโรค 3 ลักษณะ 3 ตัว การแสดงรอยโรคเป็นตัวบ่งชี้สุขภาพของวาฬและบ่งชี้การเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ขณะที่เต่าทะเลมีสาเหตุการตายจากการป่วยเป็นอันดับ 1 

สพ.ญ. ราชาวดี ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า มีหลายปัจจัยที่ทำให้สัตว์ทะเลหายากอย่างวาฬ โลมา เต่าทะเลป่วย ได้แก่ ความเครียดอันเกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อม เช่น เมื่อเกิดคลื่นลมแปรปรวนทำให้หาดตื้นเขิน เต่าทะเลก็วางไข่ไม่ได้ หรือทำให้คู่แม่ลูกสัตว์ทะเลหายากที่เลี้ยงลูกด้วยนมพลัดพราก หรือเกยตื้นตายบนชายหาดหรือตายในทะเล การป่วยยังเกิดจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อราที่อยู่ในน้ำทะเลปนเปื้อนส่งผลให้สัตว์ทะเลหายากท้องแก่ป่วย

“ภาวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น ทิศทางคลื่นเปลี่ยน ส่งผลให้ระบบนิเวศเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม แหล่งอาหารของสัตว์ทะเลลดลง เกิดโรคต่าง ๆ สภาพการณ์สัตว์ทะเลหายากเหล่านี้เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญว่า ตอนนี้ระบบนิเวศและท้องทะเลมีความอุดมสมบูรณ์หรือเสื่อมโทรม” สพ.ญ. ราชาวดี กล่าว

รัฐรับโลกร้อนกระทบไทย

นายณรงค์ เลิศเกษตรวิทยา นักวิชาการประมงชำนาญการ หัวหน้างานระบบนิเวศ ศูนย์วิจัยทะเลอ่าวไทยตอนบน กรมประมง กล่าวว่า การทำวิจัยภาวะโลกร้อนค่อนข้างใช้เวลาและปัจจุบันยังไม่เห็นผลชัดเจน ดังนั้นผลกระทบโลกร้อนต่อระบบนิเวศเพชรบุรีจึงยังไม่มีการยืนยันที่แน่ชัด 

“แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดแล้วในการการวิจัยคือ อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นซึ่งมีผลทำให้สัตว์น้ำและสัตว์ทะเลหายากแพร่พันธุ์เร็วขึ้นแต่ช่วงชีวิตสั้นลง ซึ่งเป็นกลไกการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของพวกมัน รวมถึงการย้ายถิ่นฐานด้วย” นายณรงค์ กล่าว

ผุดแผนลดก๊าซเรือนกระจก 30 ปี 

ทีมข่าวตรวจสอบแผนรับมือสถานการณ์โลกร้อนพบว่า กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2558-2593 ในแผนระบุว่า รัฐวางเป้าหมายแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนโดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมทุกชนิดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณต่ำลง เพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชนเมือง และเพิ่มระบบขนส่งสาธารณะเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากท่อไอเสีย

นอกจากนี้ ยังพบแผนการปฏิบัติราชการของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปีงบประมาณ 2562 ระบุว่า ในปี 2563 คาดว่า ไทยจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 367.44 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ จึงตั้งเป้าหมายว่า จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ร้อยละ 20 หรือ 73.48 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งล่าสุดเมื่อปี 2559 สามารถลดได้แล้วร้อยละ 12 คิดเป็น 45.69  ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์

นายอุกกฤต สตภูมินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงว่า ภาวะโลกร้อนมีผลกระทบต่อทะเลไทย โดยทำให้เกิดปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาว และเต่าทะเลลดลง รัฐจึงต้องพยามยามควบคุมพฤติกรรมที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งไทยก็ได้จับมือกับอีกหลายประเทศทำข้อตกลงว่าด้วยการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในพิธีสารเกียวโตเมื่อปี 2540 และสัญญาปารีสเมื่อปี 2558 แล้ว

ทีมข่าว: กานต์ชนก พรรัตนวิสัย จุลวรรณ เกิดแย้ม ปารณีย์ สิงหเสนี และกวิน สุวรรณณัฐวิภา 

หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรก 27 มกราคม 2563 

รางวัลพิราบน้อย สารคดีและข่าวสิ่งแวดล้อมดีเด่น สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ประจำปี 2563  

FacebookTwitterEmailCopy Link

Popular

View all
ฝนตกน้ำท่วม “นนทบุรี” อ่วม เหตุผังเมืองไร้ทิศทาง
News

ฝนตกน้ำท่วม “นนทบุรี” อ่วม เหตุผังเมืองไร้ทิศทาง

‘ยกยอ’ ทอแสงตะวัน วิถีชาวคลองปากประ พัทลุง
Lifestyle

‘ยกยอ’ ทอแสงตะวัน วิถีชาวคลองปากประ พัทลุง

เรียน Journalism ไปทำอะไร?
News

เรียน Journalism ไปทำอะไร?

เด็กศิลปากรโดนถามอะไรกันบ้าง ?
Video

เด็กศิลปากรโดนถามอะไรกันบ้าง ?

เสียงของซาเล้งที่ดังไม่ถึงรัฐบาล
Quality of Life

เสียงของซาเล้งที่ดังไม่ถึงรัฐบาล

เด็กไทยภายใต้วาทกรรม ‘เด็กดี’
Opinions

เด็กไทยภายใต้วาทกรรม ‘เด็กดี’