
โลกร้อนสะเทือนอ่าวไทยชั้นใน! พบอุณหภูมิน้ำทะเลเพชรบุรีพุ่ง 32 องศาเซลเซียสสูงกว่าค่าเฉลี่ย 6 องศาฯแถมทำคลื่นลมแปรปรวนกัดเซาะหาดไปแล้ว 5.6 กม.รอบ 10 ปีหลังซ้ำน้ำทะเลเป็นกรด ‘เต่าทะเล–วาฬ–โลมา’ สัตว์ชี้วัดนิเวศสมดุลหายรัฐผุดแผนลดก๊าซเรือนกระจกรับมือ
ทุกเดือนสิงหาคม-ธันวาคม ที่อ่าวบางตะบูน อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศจะพากันมาขอให้ชาวประมงที่นี่พาพวกเขานั่งเรือออกไปชมฝูงวาฬโอมุระซึ่งพวกมันว่ายตามฝูงปลาเล็ก ๆ เข้ามาเพื่อกินเป็นอาหาร ทำให้นายจรูญ พงศ์พิทักษ์ วัย 65 ปี ชาวบ้านที่นี่ ตัดสินใจเปิดกิจการล่องเรือชมวาฬเป็นเจ้าแรกเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ควบคู่ไปกับทำประมงพื้นบ้าน
เขาบอกว่า ความอุดมสมบูรณ์ของอ่าวไทยชั้นในซึ่งกินพื้นที่มาถึงชายทะเลเพชรบุรี ยังพาโลมาปากชวด โลมาหัวบาตรหลังเรียบ และโลมาเผือก มาตั้งถิ่นฐานที่นี่
แต่หลังจากเปิดกิจการไม่ถึงปี จู่ ๆ โลมาเหล่านี้ก็ย้ายถิ่นฐานลงใต้ แม้อ่าวไทยชั้นในที่รู้จักในนาม ‘อ่าวรูปตัว ก’ จะมีสมาชิกใหม่คือ โลมาอิรวดีเข้ามาแทน แต่พบได้น้อยครั้งและมีไม่กี่ฝูง ซ้ำอีก 10 ปีถัดมา วาฬโอมุระหรือที่ชาวประมงที่นี่เรียกว่า วาฬแกลบ ก็ได้อพยพย้ายถิ่นฐานไปเช่นกัน แม้จะมีวาฬบรูด้าเข้ามาอาศัย แต่ขณะนี้ทั้งคู่กำลังจะหายไป
“สาเหตุที่วาฬแกลบและพวกโลมาหายไปอาจเป็นเพราะทะเลแถวนี้ไม่เหมือนเดิม ระบบนิเวศในท้องทะเลเริ่มเปลี่ยน และแหล่งอาหารไม่พอสำหรับพวกมัน พวกมันจึงต้องไปหาที่อยู่ใหม่” ชาวประมงหลายคนที่อ่าวบางตะบูน บอก
ทีมข่าวลูกศิลป์ ศูนย์ข่าวเพชรบุรี ตรวจสอบข้อมูลสภาพแวดล้อมชายฝั่งย้อนหลังช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจากรายงานข้อมูลน้ำและภูมิอากาศแห่งชาติ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) พบว่า น้ำทะเลชายฝั่งจังหวัดเพชรบุรีมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นประมาณ 0.5 องศาเซลเซียสในรอบทศวรรษ
รายงานล่าสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ยังระบุว่า ปี 2561 อุณหภูมิน้ำทะเลบริเวณนี้แปรปรวนสูง โดยพุ่งสูงถึง 32 องศาเซลเซียส ยาวนานเกือบ 2 สัปดาห์ เป็นแบบนี้หลายครั้งในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ขณะที่อุณหภูมิน้ำทะเลอ่าวไทยปกติจะอยู่ที่ 26-28 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิสูงโดดขึ้นก็จะเป็นช่วงสั้น ๆ แค่ 1-2 วัน
โลกร้อนทำอุณหภูมิน้ำแปรปรวน–คลื่นแรง
นายสมเกียรติ ขอเกียรติวงศ์ อดีตผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อธิบายว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นผลจากภาวะโลกร้อน และยังทำให้ระดับน้ำทะเลสูงมากขึ้นเพราะน้ำแข็งและหิมะละลายมากขึ้น ผลที่ตามมาคือ คลื่นลมแรงขึ้นและกัดเซาะชายฝั่งมากขึ้น
ทีมข่าวได้ตรวจสอบสถานการณ์การกัดเซาะชายหาดจากระบบฐานข้อมูลกลางและมาตรฐานข้อมูลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่า ข้อมูลล่าสุดเดือนพฤศจิกายน 2561 ชายฝั่งเพชรบุรีถูกกัดเซาะไปแล้วกว่า 5.6 กิโลเมตร ในช่วงปี 2550-2560 สถานการณ์รุนแรงสุดเกิดขึ้นที่ตำบลปากทะเล อำเภอบ้านแหลม กินความยาวกว่า 2.39 กิโลเมตร
ฐานข้อมูลดังกล่าวยังระบุว่า หาดทรายเป็นแหล่งวางไข่ของเต่าทะเล เป็นตัวสะท้อนระบบนิเวศหาดทรายซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของห่วงโซ่อาหาร หากมันผุกร่อนจากคลื่นลมแรงมากกว่าปกติ สายใยอาหารที่สำคัญก็หายไป
นายมนู อรัญพันธ์ กรรมการจังหวัดเพชรบุรีด้านสิ่งแวดล้อม หัวหน้าชมรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อำเภอแหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี และอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล กล่าวว่า รัฐสร้างกำแพงกันคลื่นกัดเซาะชายหาด ทำให้เต่าทะเลอย่างเต่ากระ เต่ามะเฟือง เต่าตนุซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สงวนและคุ่มครองสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. 2535 เข้ามาวางไข่ไม่ได้ ต้องไปวางไข่ในทะเล ประชากรเต่าจึงลดลง
ทะเลเป็นกรดมากขึ้นเสี่ยงสัตว์อยู่ไม่ได้
ทีมข่าวตรวจสอบต่อไปถึงสภาพน้ำในทะเล โดยเว็บไซต์เอ็นไวรอนเน็ต ศูนย์สารสนเทศสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ปกติมหาสมุทรจะมีค่าแสดงความเป็นกรด-เบส (pH) ประมาณ 8.0-8.1 ซึ่งมีความเป็นเบสเล็กน้อย ทั้งนี้ถ้าค่าความเป็นกรด-เบส น้อยกว่า 7 สารชนิดนั้นก็จะมีฤทธิ์เป็นกรด แต่เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2559 เว็บไซต์องค์กรว่าด้วยสิ่งแวดล้อมแห่งสหภาพยุโรป (European Environment Agency หรือ EEA) เผยแพร่ผลสำรวจค่าความเป็นกรด-เบสของพื้นผิวมหาสมุทรว่า จากที่ค่าความเป็นกรด-เบสอยู่ที่ 8.04 ในปี 2531 แต่ 24 ปีต่อมา คือปี 2557 พื้นผิวมหาสมุทรมีค่าเข้าใกล้ความเป็นกรดมากขึ้น คืออยู่ที่ 8.0
“แม้ตัวเลขจะลดลงเพียง 0.04 แต่ผลที่เกิดขึ้นยิ่งใหญ่และเกี่ยวข้องกับสัตว์หลายชนิด หากตัวเลขลดลงมากกว่านี้อาจหมายความว่า ออกซิเจนในทะเลจะหมดไปจนทำให้สิ่งมีชีวิตที่หายใจด้วยเหงือกไม่สามารถอาศัยอยู่ได้” รายงานระบุ
‘เต่า–วาฬ–โลมา’หายสะท้อนนิเวศพัง
มีรายงานการประเมินสุขภาพวาฬบรูด้าที่สำรวจพบบริเวณอ่าวไทยตอนบนจากภาพถ่ายและการสังเกต ในเดือนตุลาคม 2561 โดย สพ.ญ. ราชาวดี จันทรา นายสุรศักดิ์ ทองสุกดี นายสุรชัย ภาสดา นายธีรวัตร เปรมปรี และนางสาวพัชราภรณ์ เยาวสุต สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน ระบุว่า วาฬบรูด้า 39 ตัว มีความผิดปกติ โดยพบรอยโรค 1 ลักษณะจำนวน 23 ตัว พบรอยโรค 2 ลักษณะ 3 ตัว และรอยโรค 3 ลักษณะ 3 ตัว การแสดงรอยโรคเป็นตัวบ่งชี้สุขภาพของวาฬและบ่งชี้การเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ขณะที่เต่าทะเลมีสาเหตุการตายจากการป่วยเป็นอันดับ 1
สพ.ญ. ราชาวดี ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า มีหลายปัจจัยที่ทำให้สัตว์ทะเลหายากอย่างวาฬ โลมา เต่าทะเลป่วย ได้แก่ ความเครียดอันเกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อม เช่น เมื่อเกิดคลื่นลมแปรปรวนทำให้หาดตื้นเขิน เต่าทะเลก็วางไข่ไม่ได้ หรือทำให้คู่แม่ลูกสัตว์ทะเลหายากที่เลี้ยงลูกด้วยนมพลัดพราก หรือเกยตื้นตายบนชายหาดหรือตายในทะเล การป่วยยังเกิดจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อราที่อยู่ในน้ำทะเลปนเปื้อนส่งผลให้สัตว์ทะเลหายากท้องแก่ป่วย
“ภาวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น ทิศทางคลื่นเปลี่ยน ส่งผลให้ระบบนิเวศเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม แหล่งอาหารของสัตว์ทะเลลดลง เกิดโรคต่าง ๆ สภาพการณ์สัตว์ทะเลหายากเหล่านี้เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญว่า ตอนนี้ระบบนิเวศและท้องทะเลมีความอุดมสมบูรณ์หรือเสื่อมโทรม” สพ.ญ. ราชาวดี กล่าว
รัฐรับโลกร้อนกระทบไทย
นายณรงค์ เลิศเกษตรวิทยา นักวิชาการประมงชำนาญการ หัวหน้างานระบบนิเวศ ศูนย์วิจัยทะเลอ่าวไทยตอนบน กรมประมง กล่าวว่า การทำวิจัยภาวะโลกร้อนค่อนข้างใช้เวลาและปัจจุบันยังไม่เห็นผลชัดเจน ดังนั้นผลกระทบโลกร้อนต่อระบบนิเวศเพชรบุรีจึงยังไม่มีการยืนยันที่แน่ชัด
“แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดแล้วในการการวิจัยคือ อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นซึ่งมีผลทำให้สัตว์น้ำและสัตว์ทะเลหายากแพร่พันธุ์เร็วขึ้นแต่ช่วงชีวิตสั้นลง ซึ่งเป็นกลไกการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของพวกมัน รวมถึงการย้ายถิ่นฐานด้วย” นายณรงค์ กล่าว
ผุดแผนลดก๊าซเรือนกระจก 30 ปี
ทีมข่าวตรวจสอบแผนรับมือสถานการณ์โลกร้อนพบว่า กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2558-2593 ในแผนระบุว่า รัฐวางเป้าหมายแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนโดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมทุกชนิดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณต่ำลง เพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชนเมือง และเพิ่มระบบขนส่งสาธารณะเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากท่อไอเสีย
นอกจากนี้ ยังพบแผนการปฏิบัติราชการของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปีงบประมาณ 2562 ระบุว่า ในปี 2563 คาดว่า ไทยจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 367.44 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ จึงตั้งเป้าหมายว่า จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ร้อยละ 20 หรือ 73.48 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งล่าสุดเมื่อปี 2559 สามารถลดได้แล้วร้อยละ 12 คิดเป็น 45.69 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์
นายอุกกฤต สตภูมินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงว่า ภาวะโลกร้อนมีผลกระทบต่อทะเลไทย โดยทำให้เกิดปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาว และเต่าทะเลลดลง รัฐจึงต้องพยามยามควบคุมพฤติกรรมที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งไทยก็ได้จับมือกับอีกหลายประเทศทำข้อตกลงว่าด้วยการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในพิธีสารเกียวโตเมื่อปี 2540 และสัญญาปารีสเมื่อปี 2558 แล้ว
ทีมข่าว: กานต์ชนก พรรัตนวิสัย จุลวรรณ เกิดแย้ม ปารณีย์ สิงหเสนี และกวิน สุวรรณณัฐวิภา
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรก 27 มกราคม 2563
รางวัลพิราบน้อย สารคดีและข่าวสิ่งแวดล้อมดีเด่น สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ประจำปี 2563